#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

7 ปีแล้ว...เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นพอแล้วหรือยัง?

โดย ดร. ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์
เผยแพร่:
234 views

บทความพิเศษโดย: ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์

 

ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉลี่ยแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ภายใน 5 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ

ผ่านไปแล้ว 7 ปีหลังวิกฤต แต่ทำไมครั้งนี้ดูเหมือนจะมีแต่ภาพที่ขัดแย้งเกิดขึ้น 

ชาวอเมริกันบางกลุ่มเหมือนฟื้นแล้ว แต่อีกหลายกลุ่มยังคงเจ็บปวดกับแผลเก่า คับแค้นฝังตัวเป็นสาวก Bernie Sanders กับ Donald Trump  

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เองก็ได้แสดงท่าทีเก้ๆ กังๆ จะขึ้นไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาหลายครั้งหลายครา ทั้งๆ ที่ GDP ได้โตขึ้นมาเกิน 14% จากระดับต่ำสุดเมื่อ มี.ค. 2009 แล้วก็ตาม

คำถามที่ทั้งโลกรอคอยคำตอบในขณะนี้จึงไม่ใช่แค่ว่า “เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นแล้วหรือยัง” แต่คือ “ฟื้นพอที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายเศรษฐกิจแล้วหรือยัง” มากกว่า

บทความนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจ 3 มุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นว่าทำไมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครั้งนี้จึงไม่เป็นภาพที่ชัดเจนและทำไมหลายฝ่ายถึงยังเห็นไม่ตรงกันว่าเมื่อไรควรเปลี่ยนเกียร์เศรษฐกิจครับ  

 

1.โตวันโตคืน.. แต่โตช้า

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครั้งนี้ (เกิน 7 ปีแล้ว) นับว่าเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ยาวที่สุดเป็นอันดับสามในรอบ 50 ปี  แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการฟื้นตัวที่แผ่วที่สุดเช่นกัน เนื่องจากตั้งแต่มี.ค. 2009 GDP โตโดยเฉลี่ยแล้วแค่ปีละ 2.1% เท่านั้น  

ส่วน “ขนาด” ของการขยายตัวทั้งหมดของ GDP จากเหวลึกเมื่อมี.ค. 2009 ขึ้นมาที่ราวๆ 14% ก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าการฟื้นตัวครั้งอื่นๆ เลย  ยกตัวอย่างเช่นในช่วงปี 1970 ถึงปี 1973 นั้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถขยายตัวได้ถึง 16% ภายในแค่ 3 ปี เท่านั้น  

หากเทียบกับเศรษฐกิจอื่นๆ แล้ว (ด้านบน) การฟื้นตัวของ GDP ต่อหัวจากก่อนวิกฤตในปี 2007 ก็ไม่ได้ดีเด่นเหนือเศรษฐกิจในยุโรปหรือญี่ปุ่นเท่าไรนัก ที่ตัวเลข GDP ดิบๆ แบบไม่หารต่อหัวดูดีกว่าเพื่อนคงเป็นเพียงเพราะอัตราการเพิ่มของประชากรที่สูงกว่าในสหรัฐฯ  

 

2. ปริศนาตลาดแรงงาน

แน่นอนว่าการฟื้นตัวของ GDP ที่ดูแผ่วกว่าครั้งอื่นๆ นั้นอาจเป็นเพราะว่าวิกฤตล่าสุดที่ผ่านมานี้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ “ผุพัง” อย่างรุนแรงมากกว่าครั้งก่อนๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดแรงงานที่ทำให้อัตราว่างงานเคยพุ่งขึ้นไปแตะถึง 10%   

นับเป็นข่าวดีที่ขณะนี้อัตราว่างงานได้ปรับลดลงแล้วอย่างต่อเนื่อง (เมื่อเดือนที่แล้วอยู่ที่ 4.9%) และที่น่าสนใจที่สุดคือภายในแค่ 3 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถจ้างคนเพิ่มขึ้นได้ราว 8 ล้านคน ซึ่งเท่ากับการจ้างงานทั้งหมดที่เคยมีในรอบ 14 ปีก่อนหน้านั้นมาเลยทีเดียว

ปัญหาคือ “สัญญาณดี” อันร้อนแรงนี้กลับมี “สัญญาณร้าย” ปนอยู่เต็มไปหมด

สัญญาณร้ายแรกคืองานที่เพิ่มขึ้นมันไม่ใช่งาน “คุณภาพ”  เสมอไป  งานวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์แรงงานมือฉมังสองท่าน Lawrence Katz กับ Alan Krueger พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานประเภท alternative (งานชั่วคราว เช่น คนขับรถ หรืองานที่มักไม่มีประกันสุขภาพ ไม่มีแพ็กเกจเกษียณ) เพิ่มขึ้นถึง 66.5% ระหว่างปี 2005 ถึงปี 2015  ส่วนการจ้างงาน “คุณภาพ” กลับร่วงลง 0.3%  

สัญญาณร้ายที่สองคือยังมีเปอร์เซ็นต์ของผู้ทํางานไม่เต็มเวลาแบบไม่ได้ตั้งใจ (ทำงาน part-time ไปแต่ก็หา full-time ไปด้วย) อยู่มากผิดปกติที่ราว 4.2% (ประมาณ 6 ล้านคน)  ซึ่งจากรายงานของ Center for Economic and Policy Research นั้นปกติแล้วถ้าอัตราว่างงานอยู่ราว 4.9% เมื่อเทียบกับสมัยก่อนตัวเลขนี้ควรจะอยู่ที่แค่ 3%  ที่ตัวเลขนี้น่ากังวลเป็นเพราะว่าการทำงานแบบ part-time นั้นเสมือนการตัดรายได้ออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง อีกทั้งตัวเลขนี้ยังขึ้นมากเป็นพิเศษสำหรับแรงงานกลุ่มอายุน้อยซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหา “resume ด่างพร้อย” ที่ทำให้หางานเต็มตัวลำบากขึ้นและพัฒนาทักษะได้ช้าลงอีกด้วย

 

3. โตกระจุก...ร้าวกระจาย

แม้ผมจะคิดว่านักเศรษฐศาสตร์หลายคนเป็นห่วงเศรษฐกิจสหรัฐฯ น้อยลงมากแล้ว  แต่ที่คาใจที่สุดเห็นจะเป็นโจทย์ที่ว่าพวกเขาควรจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อการฟื้นตัวส่วนใหญ่ของเศรษฐกิจไปสะสมกันอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ ในเศรษฐกิจขนาดยักษ์

หากเราดูการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลรายได้ครัวเรือนด้านบน (เอาเงินเฟ้อออกแล้ว) จะเห็นได้ว่าค่าเฉลี่ย (สีน้ำเงิน) ของทั้งเศรษฐกิจดูดีขึ้นตามกาลเวลา แต่หากดูค่ามัธยฐาน (สีแดง) จะพบว่ารายได้ครัวเรือนของชาวอเมริกันที่อยู่ “กลางๆ” ของเส้นความร่ำรวยในปี 2014 แทบไม่ต่างจากเมื่อ 26 ปีก่อนเลย 

นั่นเป็นเพราะค่าเฉลี่ยระดับประเทศมักถูกครัวเรือนระดับท๊อปที่ร่ำรวยแบบเฮฟวี่เวทดึงขึ้นอย่างรุนแรงและความเหลื่อมล้ำในการฟื้นตัวครั้งนี้ยิ่งเห็นได้ชัดจากข้อมูลของ Bureau of Labor Statistics ด้านบนที่ชี้ให้เห็นว่ารายได้ของคนส่วนมากแทบจะไม่ได้มีโอกาส “ฟื้น” เลยสักนิด (ติดลบด้วยซ้ำ) จากก่อนวิกฤตเมื่อปี 2007   นี่คือความกังวลสำคัญเพราะเมื่อไม่มีเงินก็ไม่มีอุปสงค์

 

สรุป

การพักฟื้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครั้งนี้ยังเต็มไปด้วยสัญญาณดีและร้าย  เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องแต่กลับแผ่วเบา  มีการจ้างงานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ไม่เชิงว่าเป็นงานคุณภาพ รายได้ที่ฟื้นตัวขึ้นก็กลับไปกระจุกอยู่กับคนไม่กี่คน จึงไม่แปลกที่ทำไม Fed ยังตกลงกันไม่ได้และยังไม่กล้าเปลี่ยนเกียร์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเสียที  เพราะนอกจากปัจจัยเศรษฐกิจจะซับซ้อนแล้ว Fed เองอาจต้องคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำอันน่าเกลียดของการฟื้นตัวครั้งนี้ (ซึ่งเป็นทั้งปัจจัยเศรษฐกิจและการเมือง) ทั้งๆ ที่ตนเองต้องพยายามคงความเป็นอิสระทางการเมืองในเวลาเดียวกัน

บทความหน้าเราจะไปสำรวจอีกหนึ่งตัวแปรที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญบนเวทีเศรษฐกิจโลก นั่นก็คือแนวโน้มของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ครับ

ติดตามบทวิเคราะห์จากมุมมองเศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจง่ายได้ที่ www.settakid.com  ครับ


ผู้เขียนเป็นเจ้าของเว็บไซต์ settakid.com ที่วิเคราะห์ประเด็นเปลี่ยนโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์แบบเข้าใจง่ายๆ  คุณ ณภัทร จบปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลและจอนส์ ฮอปกินส์ เคยมีประสบการณ์ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดและธนาคารโลก และสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซต้า เป็นนักเขียนรับเชิญของ stock2morrow และเป็นคอลัมนิสต์ประจำสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง