ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเกือบ 0% เช่นนี้ นักลงทุนหรือนักออมเงินทุกคน ย่อมที่จะต้องการค้นหาหลักทรัพย์ต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อบอกว่าก็เล่นหุ้นไง คงมีคนตอบกลับว่ามีแต่เสียมากกว่าได้ มีความเสี่ยงสูง ไม่แน่ไม่นอน !!!  ดังนั้นเราจึงมีวิธีการที่ง่าย ๆ วิธีหนึ่งที่จะได้เงินปันผลเหมือนนอนตีพุงรับเงินได้ในตลาดหุ้นนั้น คือ การเลือกหาหุ้นที่เน้นจ่ายปันผลสูง ๆ ความผันผวนไม่มาก เช่น หุ้นในกลุ่มที่กำลังยอดฮิตอยู่ และมี fund flow จากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าด้วยเช่นกัน คือ หุ้นกลุ่มกอง Property, REIT และ Infrastructure Funds

กองทุนรวมเหล่านี้คืออะไร? เทียบกับตลาดหุ้น SET เป็นอย่างไร

- กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (property funds) ก็คือกองทุนรวมประเภทหนึ่ง โดยผู้จัดการกองทุนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจากผู้ลงทุนไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทใด ประเภทหนึ่ง ขึ้นอยู่กับนโยบายการจัดตั้งกองทุนขึ้นมา ซึ่งที่คุ้นหูกัน เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ อาคารสำนักงาน โรงงานคลังสินค้า ศูนย์การค้า สนามบิน เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หลายชนิด ไว้กองทุนให้นักลงทุนเลือกลงทุน

- กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) เป็นกองทรัพย์สินที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีลักษณะเป็นกองทรัสต์ ไม่ใช่นิติบุคคลเหมือนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยสินทรัพย์ที่ต้องลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ถือกรรมสิทธิ์โดยทรัสตี (Trustee) ซึ่งทรัสตีมีอำนาจดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ รวมทั้งดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager) เพื่อประโยชน์ของผู้ถือใบทรัสต์ โดยที่ผู้ถือใบทรัสต์จะเป็นผู้รับประโยชน์ในทรัพย์สินของกองทรัสต์ โดย REIT จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure fund) คือกองทุนรวมประเภทหนึ่ง ทีตั้งขึ้นเพื่อ ระดมทุนจากผู้ลงทุนสำหรับนำไปใช้พัฒนากิจการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อประโยชน์สาธารณะของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการของรัฐหรือเอกชน เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน ทางพิเศษ หรือทางสัมปทาน ท่าอากาศยานหรือสนามบิน ท่าเรือน้ำลึก โทรคมนาคม รถไฟฟ้า รถใต้ดิน เป็นต้น โดยกองทุนรวมที่จะจัดตั้งนั้นจะต้องระบุ

สรุปเปรียบเทียบให้เข้าใจกันง่าย ๆ

หุ้นกลุ่มกอง Property, REIT และ Infrastructure Fund ผลตอบแทนเฉลี่ยจากเงินปันผลค่อยข้างสูงเลยทีเดียวอยู่ที่ประมาณ 7-10% ต่อปี โดยเมื่อเทียบผลตอบแทนจากตลาดหุ้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3-4% ต่อปี นอกจากนั้น ทั้ง 3 กองนี้ เป็นหุ้นที่มีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอีกด้วย และสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว อีกทั้งมีสินทรัพย์ให้เลือกได้หลากหลาย อาทิ โรงแรม อาคารออฟฟิค สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า สาธารณูปโภคพื้นฐาน โรงไฟฟ้า โทรคมนาคม สนามบิน ฯลฯ

แต่ยังไงเราต้องดูกองทุนนั้น ๆ ด้วยว่าเป็นประเภทให้เช่า (Leasehold) หรือประเภทซื้อ (Freehold) เพราะมีผลต่ออายุการถือหุ้นหรือกองทุนรวม นอกจากนั้นนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง และนโยบายของแต่ละกองทุนประกอบการพิจารณาตัดสินใจด้วย

ความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังไว้มีอะไร?

อีกตัวเลขหนึ่งที่สำคัญ คือ Net Asset Value : NAV เป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึง มูลค่าที่แท้จริงของกองทุน ซึ่งหากมีการจ่ายเงินปันผล(สูง) จะทำให้ราคา NAV ลดลงได้ เนื่องจากเงินปันผลถูกจ่ายมาจากกำไรสะสมหรือกำไรสุทธิของกองทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ NAV นั้นเอง

นอกจากนั้น หากจะดูเรื่องความเสี่ยง ต้องไปดูค่าความผันผวน (Standard Deviation) โดยค่าความผันผวนยิ่งต่ำยิ่งดี สะท้อนได้ว่า ความผันผวนของผลตอบแทนต่ำ NAV จะไม่เหวี่ยงมาก ตรงกันข้ามถ้าค่าความผันผวนสูง แสดงว่าผลตอบแทนจะมีความผันผวนมาก NAV ก็จะเหวี่ยงมาก บางจังหวะอาจจะพุ่งขึ้นไปสูง แต่อีกไม่กี่วันถัดมากลับปรับลดลงมาได้เช่นกัน

ความเสี่ยงอีกเรื่อง คือ การขาดสภาพคล่อง เนื่องจากจะมีสภาพคล่องที่น้อยกว่าหุ้นสามัญ และเป็นเหตุผลที่ทำให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไม่เป็นที่นิยมมากนัก ประกอบกับเมื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนต่างของราคาตลาด (Market Price) กับราคา NAV ก็กลายเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่นักลงทุนควรนำมาพิจราณาเป็นสำคัญด้วยว่ามูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริงกลับราคาตลาดนั้นมีความต่างกันมากน้อยแค่ไหน (premium/discount)

ตัวอย่าง กองทุนรวมทั้ง 3 ประเภท ที่ให้ผลตอบแทนสูง

เฉลี่ยเป็นงวดๆ ตลอดทั้ง 2 ปีที่ล่าสุดที่ผ่านมา

ขอบคุณแหล่งข้อมูล : SET