ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนอย่างมาก บางวันนักลงทุน เห็นหุ้นลงไปยี่สิบกว่าจุด ตกใจรีบขายหุ้น ก็บ่นว่าแย่จัง โลกจะแตกแล้ว อีกวันตลาดบวกคืนสิบกว่าจุด ก็บ่นว่าแย่จัง ตกรถแล้ว ความจริงประการหนึ่งก็คือ เราไม่ควรมีอารมณ์ผันผวนไปตามตลาดที่ผันผวนครับ เพราะเราอยู่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนมากเหลือเกิน มากพอที่จะทำให้เกิดการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบแปลกๆที่ตำราเศรษฐศาสตร์ในอดีตไม่เคยกล่าวไว้
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE ที่เรียกชื่อเล่นกันว่า นโยบายพิมพ์เงิน) หรือ นโยบายดอกเบี้ยต่ำ ต่ำกระทั่งดอกเบี้ยติดลบ ช่วงต้นปีนักลงทุนมีความกลัวว่า FED อาจจะปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในปีนี้ถึง 4 ครั้ง(ครั้งละ 0.25%) ซึ่งจะส่งผลให้กระแสเงินทุน(Fund Flow) ไหลกลับอเมริกา ส่งผลลบต่อตลาดหุ้น
แต่ต่อมาก็คลายความกังวลลง เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าคาด ส่งผลให้ FED อาจจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยบ่อยครั้งในปีนี้ (งงไหมหล่ะครับ เศรษฐกิจชะลอ ทำให้ FED ไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินร้อนจึงยังไหลเวียนหาผลตอบแทนได้ต่อไป นักลงทุนทั่วไปไชโย) และต่อมา เราก็มีความกังวลใหม่ ต่อผลโหวตประชามติของประชาชนชาวอังกฤษ ที่จะตัดสินใจว่าอาจจะนำประเทศอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป(EU) หรือไม่ ที่เรียกกันว่า BREXIT ซึ่งมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน สิ่งนี้จะยังกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกต่อเนื่อง เพราะการที่อังกฤษอยู่กับ EU ต่อไป มันหมายถึงความมั่นคงของกลุ่ม EU ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ และสำคัญต่อสมดุลการค้าการลงทุนทั่วโลก
ความผันผวนมีมากมาย และจะมีเข้ามาเรื่อยๆ ผมคิดว่า หัวใจการลงทุนในปี 2559 คือต้อง “ใจเย็นๆครับ” เรายังต้องผ่านความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงอีกมากมาย อย่าลืมว่าปีนี้ ตลาดหุ้นไทยเราเปิดมาไม่ดี แค่ 1,263 จุด ... ช่วงเดือนนี้ ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาอยู่ที่เกือบ 1,500 จุด เราเป็นตลาดหุ้นไม่กี่แห่งในโลกที่ให้ผลตอบแทนสูงนะครับ โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ใน SET50 จากต้นปีมา บวกไปประมาณ 10% ซึ่งไม่ธรรมดาเลย
ตอนนี้ผู้คนจำนวนมากในตลาดหุ้นไทย เริ่มรับรู้แล้วว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย
-> ไม่ใช่ตลาด "ขาลง" (Bearish) ตลาดหมี ที่ตั้งหน้าตั้งตาลงอย่างเดียว พร้อมวอลุ่มที่เหือดหาย
-> และก็ไม่ใช่ตลาด "ขาขึ้น" Bullish ที่ขึ้นชันเป็นกระทิงดุ พร้อมวอลุ่มหนักแน่นได้นาน
แต่ตลาดหุ้นไทยเรา อยู่ในสภาพ "Sideway" หรือ "ออกข้าง" คือไม่ได้มีเทรนด์ขาขึ้น หรือ ขาลง ยาวๆ มานานหลายปีแล้ว ถ้านับจริงๆ ตั้งแต่กลางปี 2556 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยก็อยู่ในกรอบ 1250-1600 จุด ทุกครั้งที่ ขึ้นสูงมากก็ปรับตัวลง ... ทุกครั้งที่ปรับลงไปมากก็ปรับตัวขึ้น วนเวียนอยู่อย่างนี้ และอย่าลืมว่า ในปี 2559 นี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ก็ให้เป้าดัชนีไว้ที่ไม่เกิน 1500 ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในกรอบ
ดังนั้น ดัชนีตลาดมันขึ้น เราก็ไม่ต้องตกใจ ... มันลงเราก็ไม่ต้องตกใจครับ สิ่งที่นักลงทุนแนว Fundamental วีไอ ผู้สนใจในปัจจัยพื้นฐานควรทำ อาจจะไม่ใช่การจับจ้องที่ดัชนีขึ้นลงรายวัน แต่เป็นการจ้องหุ้นที่เราต้องการซื้อเพิ่ม หุ้นบางกลุ่ม นับจากต้นปี ราคาปรับขึ้นมามากแล้ว เช่น กลุ่มพลังงาน ที่อิงกับราคาน้ำมันดิบโลก ที่ปรับตัวจาก 28 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 46 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล หุ้นพลังงานปรับตัวขึ้นมามาก ความน่าสนใจก็ลดลง
แต่หุ้นบางกลุ่ม อย่างเช่นกลุ่มธนาคาร ราคายังย่ำแย่เหมือนต้นปีอยู่ และให้ปันผล(dividend yield) ในระดับ 3-4% ค่า P/BV ใกล้ 1 ถือว่าราคาก็อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา แม้ธุรกิจคงจะไม่กลับมาดีในเร็ววัน แต่ก็ดูน่าติดตามไม่น้อย หน้าที่นักลงทุนอย่างเรา ก็คือ จ้องหุ้นที่ชอบ ที่ชอบ มีความพร้อมเสมอ เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลง... เมื่อราคาลงมาแล้วมันจะ undervalue (ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง) เข้าไปอีก แล้วเราก็ควรทยอยเก็บ
การทำเช่นนี้ พอร์ทหุ้นของเรา จะเต็มไปด้วย Good Stock และ Good Price หรือ หุ้นดีๆ ที่ต้นทุนราคาที่ได้เปรียบ เต็มพอร์ท สะสมไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางการลงทุนอย่างไม่หักโหม นี่คือปัจจัยสำคัญ ที่ผู้ชนะระยะยาวต้องมีครับ
----------------------------------
สนใจคอร์ส ติวหุ้นรวยด้วย VI ของนิ้วโป้ง คลิก