#แนวคิดด้านการลงทุน

Baidu สุดยอด Search Engine แดนมังกร

โดย ธีรัตม์ กฤตยาภัทร
เผยแพร่:
400 views

Baidu เปรียบเสมือน Google ที่ใช้กันอย่างถล่มทลายในประเทศจีน เพราะแม้แต่ Google เองก็เจาะตลาดผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจีนขนาด 650 ล้านคนไม่เข้า ธุรกิจหลักของ Baidu เป็น Internet Search Engine ที่เปิดให้บริการรอบโลกเหมือน Google แต่ผู้ใช้หลักยังคงเป็นชาวจีนมากกว่า

จากข้อมูลของ Statista พบว่ารายได้ของ Baidu โตก้าวกระโดดถึง 33 เท่าจาก 240 ล้านดอลล่าร์ ปี 2007 มาถึง 7.9 พันล้านดอลล่าร์ปี 2014 ส่วนกำไรสุทธินั้นก็โตต่อเนื่องเช่นกัน แม้ว่าอาจจะไม่โตเร็วเหมือนรายได้ บริษัทยังคงเติบโตได้เร็วต่อเนื่องตามจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นชาวจีนรอบโลก

ช่องทางการหารายได้นั้นแทบจะเหมือนกับ Google คือมาจากค่าโฆษณาเป็นหลัก แต่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทอย่าง Robin Li กำลังคิดการใหญ่ ต้องการปรับเปลี่ยนย้ายการลงทุนในธุรกิจหลัก search engine มาเริ่มลงทุนหนักมากๆในธุรกิจ e-commerce แบบ online to offline (O2O) ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าตลาดโฆษณาบน search engine มหาศาล นอกจากนี้ยังมีการลงทุนร่วมกับ BMW ในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับที่มีการทดลองวิ่งบนถนนจริงในเมืองปักกิ่งแล้วอีกด้วย 

แต่ราคาหุ้นของบริษัท Baidu ที่อยู่ในตลาด NASDAQ ดูแล้วอาจไม่สะท้อนมูลค่าดีเหมือนศักยภาพที่มีอยู่ โดย Li กล่าวว่า ดูจากราคาหุ้นของ Baidu และมูลค่าที่นักลงทุนชาวอเมริกันให้ในตลาด NASDAQ แล้ว พวกเขาน่าจะไม่เข้าใจยุค Internet Boom ของจีนดีพอ และยังจะพลาดโอกาสที่กำลังจะมาจากโมเดลธุรกิจแบบ O2O (Online to Offline) ซึ่งเป็นโอกาสที่ใหญ่มากจนดึงดูดผู้เล่นรายใหญ่ของโลกอย่าง Uber Technologies ให้ต้องรีบเข้ามาเปิดตลาดจีนด้วย

ในปี 2014 อัตรากำไรสุทธิของ Baidu อยู่ที่ 27% ตกลงมาจากปีก่อนพอสมควร เพราะ CEO Li กำลังเร่งลงทุนอย่างหนักในธุรกิจ e-commerce แบบ O2O เพื่อให้สามารถเป็นผู้นำในตลาด O2O ที่กำลังโตเร็วนี้ เหนือคู่แข็งสุดหินอย่าง Alibaba และ Tencent แต่อัตรากำไรสุทธิกลับดีดตัวขึ้นไปในปี 2015 ถึงระดับ 50% เนื่องจากรายได้โฆษณาจาก Search Engine ดีขึ้น

ส่วนรูปแบบธุรกิจ O2O ที่ Li บอกว่า Baidu จะต้องเอาชนะให้ได้นั้นก็คือ ธุรกิจแบบ “High-Frequency” นั่นคือธุรกิจภาคบริการที่มีความถี่ในการบริโภคที่สูงมาก เช่น ธุรกิจบริการส่งอาหารถึงบ้าน ธุรกิจบริการรถรับส่งอย่าง Uber หรือ ธุรกิจจองตั๋วหนังออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่น ซึ่งในปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาดจีนรายใหญ่ที่เป็นผู้นำอย่าง Meituan Dianping (ธุรกิจขายดีลประเภท Group-Buy) และ Ele.me (ธุรกิจรับส่งอาหารผ่านแอพพลิเคชั่น สนับสนุนโดย Alibaba)

ไม่เพียงแต่ Baidu เท่านั้นที่เห็นโอกาสใน O2O แต่ Alibaba และ Tencent ก็ลุยลงทุนอย่างหนักเพื่อหวังแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจ High Frequency เหล่านี้ด้วย โดยร่วมทุนกันลงทุนในบริษัทบริการแท็กซี่ส่วนบุคคลที่มีขนาดใหญ่กว่า Uber มากอย่าง Didi Chuxing ซึ่งกำลังวางแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์คภายในปี 2016 และสามารถครองตลาดได้มากจนสามารถต่อกรได้กับ Uber Technologies ที่ Baidu ร่วมลงทุนไว้ได้อย่างสบาย

ในเกมธุรกิจ High-Frequency นี้ CEO Li ยังคงเชื่อว่า ด้วยความที่ Baidu เป็นบริษัท Search Engine อยู่แล้ว ดังนั้น Baidu จะเป็นผู้ได้เปรียบในเกมนี้เพราะมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูง ซึ่งต้องใช้เพื่อหาเส้นทาง Logistics ที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุดเพื่อกำไรของธุรกิจที่ต้องเข้าถึงลูกค้าตามโมเดลธุรกิจ “Location-Based” อย่างบริษัท Uber อย่างไรก็ตามล่าสุดบริษัท Apple Inc. ได้เข้ามาร่วมลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลล่าร์ในบริษัทคู่แข่งของ Uber อย่าง Didi เพื่อร่วมพัฒนาแพล็ดฟอร์มข้อมูลลูกค้าให้ดีขึ้น

ด้วยศักยภาพของตลาด O2O การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซภาคบริการ และการเติบโตถึงปีละ 40% ของงบโฆษณาบน Search Engine ของ Baidu แต่นักลงทุนดูจะไม่ให้มูลค่า Baidu มากนัก ส่วนหนึ่งมาจาก “ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน” หุ้น Baidu ขณะนี้ลิสต์อยู่ในตลาด NASDAQ ของอเมริกา และยังมีตลาดเม็กซิโก เยอรมัน และสวิสเซอร์แลนด์อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก China Daily, Bloomberg Business และ Forbes Asia

บทความโดย บูม / FB: MoneyCrown


ผู้ก่อตั้งแฟนเพจ MoneyCrown ที่เน้นสาระความรู้และการวิเคราะห์บริษัทจากปัจจัยพื้นฐาน โดยเน้นหุ้นเติบโต (growth stock) ที่ราคาสมเหตุสมผล มีเงินปันผลสูง และเติบโตต่อเนื่อง

ประสบการณ์การทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการ (Management Consulting) ที่ประเทศไทย ประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา

ประวัติการศึกษา:

- ปริญญาตรี: คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

- ปริญญาโท: MS in Management, Cass Business School, London

- ปริญญาโท: MS in Management Science & Engineering, Columbia University in the City of New York

นอกเหนือจากความสนใจหาหุ้นที่น่าสนใจโดยอาศัยวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแล้ว ยังสนใจการลงทุนในต่างประเทศเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตลาดจีน ตลาดอเมริกา เทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงเรื่องราวของ tech startup ที่อเมริกาอีกด้วย

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง