#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

ลาออกมาเล่นหุ้น ตอน 1

โดย ธำรงชัย  เอกอมรวงศ์
เผยแพร่:
738 views

ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พอ SET ขึ้นมาแรงหน่อย กระแสเรื่องการลาออกมาเทรดหุ้นก็กลับมาอีกครั้ง. ภาพการเป็นเทรดเดอร์ ทำกำไรง่ายๆ ได้เรื่อยๆ มันเชื้อชวนนะ ผมเข้าใจความรู้สึกเลย ผมเองก็รู้สึกอยากแชร์อยากเล่าเรื่องนี้เพราะก็ได้ผ่านอารมณ์ "อยากลาออกมาเล่นหุ้น" มาเหมือนกัน เข้าใจเลยว่าเวลาเราไปถาม/ขอคำปรึกษาใคร ส่วนใหญ่มักจะห้าม อย่าออกมาเลย มันเสี่ยงเกิน ฯลฯ

ผมไม่ห้ามนะ "ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง คนจะคลอด พระจะสึก คนจะเล่นหุ้น" มันห้ามกันไม่ได้. ใจมันไปแล้ว แต่ก็อยากให้เวลากับการตัดสินใจนี้สัก 6 เดือน และดูว่าอีก 6 เดือนหลังจากนี้ยังปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกมาเล่นหุ้นเหมือนเดิมรึเปล่า. กับการตัดสินใจที่จะมีผลกับที่เหลือของชีวิต รอครึ่งปีถือว่าแป๊ปเดียว. และกับทุกการตัดสินใจใหญ่ๆ แบบนี้มีเช็คลิสท์ไว้หน่อยก็ดีนะครับ

เขาว่าถ้าได้บทเรียนจากความผิดพลาด ก็ไม่ถือว่าแพงเกินไป ซึ่งก็คงมีส่วนจริง แต่ลองผิดลองถูกบ่อยๆ เองหมดก็คงไม่ไหว กว่าจะเริ่มรู้ทางก็กินเวลาไปได้หลายปีอยู่ ผมอยากแชร์สิ่งที่ได้ทำและสิ่งที่ควรทำ (แต่มารู้ทีหลัง) ตอนที่ออกมาเทรดหุ้น และหวังว่าตรงนี้จะพอเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ ที่สนใจเอาจริงทางนี้ไว้เป็นแนวทางกันครับ..

1. เผื่อเงินไว้ใช้ 2 ปี โดยไม่พึ่งพอร์ตหุ้นเลย ส่วนใหญ่จะบอก 6 เดือนแต่ผมฟันธงเลยว่ามันไม่พอ ไม่ใช่เรื่องหากระแสเงินสดชดเชยไม่ทันนะครับ แต่ถ้าหน้าตักเหลือน้อย มันไม่อุ่นใจ รอบหุ้นปกติจะเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2 ปี นั่นคือขึ้นไปทำจุดสูงสุด-ลงมาทำจุดต่ำสุด และจุดที่เราเริ่มนั้นอาจเป็นช่วงไหนของรอบหุ้นก็ได้. หลายครั้งไปเริ่มกันที่ปลายรอบขาขึ้น เพลิดเพลินได้ไม่นานก็อาจต้องเจอกับขาลงหรือออกข้างยาวๆ ก็ได้ ซึ่งพักฐาน 6-9 เดือนเป็นเรื่องปกติ ถ้าเผื่อเงินไว้ใช้ไม่พอ กระแสเงินสดตัดขัด มันจะเริ่มพังตรงนี้ บางคนถอดใจเลิกเทรดหุ้น บางคนเริ่มมีแรงกดดันที่ต้องทำกำไร ก็เข้าไปเสี่ยงมากขึ้นโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สิ่งที่ทำก็จะไม่ต่างกับการพนัน การวัดดวง ไม่ใช่การเทรดอีกต่อไป.

ผมมั่นใจคนส่วนใหญ่เผื่อไม่ถึง 2 ปี ด้วยความประมาทตัวผมเองก็เผื่ผไม่ถึง และนั่นคือการตัดสินใจที่โง่ที่สุดของผม. ถ้าวางแผนเผื่อไว้หน่อย ชีวิตจะง่ายและพอร์ตไปได้ไกลกว่านี้อีกเยอะครับ พยายามจับตรรกะตรงนี้นะ เพราะเมื่อฐานทุนหด และไม่มีเงินใช้. ก็เลยจำเป็นต้อง "เทรดให้เร็ว" เน้นเทรด TF เล็กๆ เน้นตีหัวเข้าบ้าน เพราะต้องสร้างกระแสเงินสดทั้งๆ ที่มีรอบหุ้นใหญ่ๆ มา กลายเป็นทำกำไรได้แต่ถือไม่สุด และในรูปผลกำไรแตกต่างกันฟ้ากับเหวครับ. ถ้ารอบมันมา "ต้องถือให้สุด". เมื่อรอบมา หุ้นใหญ่ๆ นี่วิ่ง 50%+ ได้ หุ้นเล็กหน่อยขึ้น 100% เป็นเรื่องปกติ

ถ้ามีเผื่อเงินไว้ใช้น้อย สถานการณ์ชีวิตจะบังคับรูปแบบการเทรดให้เป็นการสร้างกระแสเงินสดไปโดยปริยาย. เหมือนจะดีเพราะได้ตังค์เรื่อยๆ มันคือการเสียโอกาสที่สุดที่ถ้าหุ้นรอบใหญ่มา แทนที่จะได้กำไรคำใหญ่ดันพอร์ตให้เปลี่ยนหลัก กลับต้องเสี่ยงเรื่อยๆ แล้วได้แค่กระแสเงินสดแทน. ในตลาดทุน มองหาโอกาสที่ใหญ่ที่สุดเสมอ.

2. ตั้งโจทย์ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าหวังพอร์ตเป็นเท่าไร หรือหวังผลตอบแทนปีละเท่าไร โจทย์ผิด! ตัวแปรมันเยอะไปครับ โดยเฉพาะในระยะสั้นมันขึ้นอยู่กับตลาดมากกว่า โจทย์ที่สำคัญกว่าผมว่าคือ กับเงินทุนก้อนนี้เราหวังที่จะเห็นผลตอบแทนเมื่อไร ที่เป็นตัวเงินเลยนะ ไม่ใช่ตัวเลขในพอร์ต นัยหนึ่งคือ เราต้องชัดว่า "ระยะหวังผล" เราคือเมื่อไร..

ถ้าหวังเห็นผลตอบแทนภายใน 3-12 เดือน แปลว่าเราต้องการกระแสเงินสด ซึ่งเป็นการเก็งกำไรมากกว่าลงทุนแล้ว ได้นะครับไม่ผิด. กำไรเหมือนกัน แต่เพราะหวังส่วนต่างราคาระยะสั้น เราต้องให้ นน. กับเรื่องเทคนิคมากกว่า อ่านพฤติกรรมราคา-แนวโน้มราคา ฯลฯ แต่ให้พึงรู้ไว้เลยนะ ขึ้นชื่อว่าเก็งกำไรระยะสั้น ตัวกำไรก็เล็กลงตามอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน. บางคนเถียงว่าไม่จริง เทรด Futures หรือ Forex เทรดได้เดือน 10%++ แป๊ปเดียวพอร์ตทบต้น เราจะไม่ประเมินแบบนั้นนะ ที่ถูกต้องคือประเมินกำไรบนฐานความเสี่ยงที่เกิดขึ้น. ความถี่ที่ต้องเข้าไปเสี่ยง ฯลฯ

แต่ถ้าพอรอเห็นผลตอบแทนได้ช้าหน่อย สัก 2-3 ปีขึ้นไปทิศทางราคาระยะสั้นเริ่มไม่มีผล แต่กลายเป็นทิศทางกิจการในระยะยาวแทน. แน่นอนว่าคราวนี้ต้องให้ นน. กับปัจจัยพื้นฐานมากกว่า เห็นภาพนะครับ มันไม่ใช่ว่าแนวไหนดี-ไม่ดี มันแล้วแต่ระยะหวังผลมากกว่า. ลองเช็คดูนะครับ ถ้าซื้อกิจการที่ดีในต้นทุนที่ไม่ได้แพงเกินไป ใน 3-8 ปี หุ้นไทยขึ้น 5 เด้งหาไม่ยาก และถ้ารอสัก 2-3 ปีสำหรับการพักฐานใหญ่ก่อนเข้าซื้อหุ้นไม่ได้ ก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาวครับ

และอย่าเพิ่งรีบเอาเทคนิคกับพื้นฐานมาผสมกัน มันฟังดูเท่ห์ผมเข้าใจ นักลงทุนไฮบริด ใช้ทั้ง 2 แบบ ลองพินิจพิเคราะห์ดีๆ มันไม่ใช่นะ ใช้พื้นฐานเลือกหุ้นและใช้เทคนิคจับจังหวะซื้อฟังเหมือนใช่ แต่ถ้าเกิดจังหวะขาย ส่วนใหญ่ขาย ยังงี้เรียกเก็งกำไรครับ

ทริคที่ผมอยากแชร์คือ อย่าเอาทั้งพอร์ตไปเก็งกำไร ผมพลาดตรงนี้มากๆ เลย โจทย์ต่อยอดจากเรื่องระยะหวังผลคือให้ตั้งธงว่าเราหวังผลตอบแทน "ขั้นต่ำต่อปี" เท่าไร หรือเงินที่เราต้องการถอนมาใช้ต่อปีเท่าไร ยกอย่างเช่นหวังขั้นต่ำปีละ 15% ก็ให้ออกแบบการเทรดเพื่อสร้างกระแสเงินสดปีละ 15% หรือเดือนละ 1.25% เท่านั้นพอ คิดดูนะการเก็งจะง่ายและไม่กดดัน ยิ่งเมื่อเรารู้จักหลักของ Leverage ใน Futures หรือ Options/DW แล้วนะ เราจะไม่ได้ใช้เงินทั้งพอร์ตไปเก็งฯ ให้ได้เดือน 1.25% หรอกครับ. ใช้หน่อยเดียว และจะมีทุนเหลืออีกพอสมควรเลย ทุนที่เหลือนี่แหละ รอจังหวะ และซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว. หวังกินคำใหญ่ ทำเงินก้อนนี้ให้ "พอร์ตโตเปลี่ยนหลัก" ทุนส่วนนี้แหละที่จะสร้างความมั่งคั่งและอิสรภาพทางการเงินให้เราอย่างแท้จริง. แต่ให้รู้ไว้เลยนะ ว่าไม่ใช่แป๊ปๆ แน่นอน. เราคุยอย่างน้อย 8 ปี หรือ 1 รอบหุ้นใหญ่

เทรดทำให้รวยได้ แต่ปันผลต่างหากที่จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง ผมเอาทั้งพอร์ตไปเก็งฯ และเพลิดเพลินกับกำไรระยะสั้นที่อยู่ตรงหน้า ทำให้พลาดจังหวะปั้นพอร์ตให้สร้างปันผลให้เรา กลายเป็นต้องรอรอบหน้า อิสรภาพทางการเงินช้าลงไปอีก..

ยังไม่หมดนะครับ แต่เขียนไปเขียนมาชักยาว.. ขออนุญาตต่อเป็นตอน 2 แทน แล้วจะกลับมาต่อนะครับ

---------------------

สนใจคอร์ส เทคนิคอลหุ้นมือใหม่ โดย หยง ธำรงชัย คลิก

 


เจ้าของหนังสือ Best Seller “หยงเกิดมาเทรด” ผู้ซึ่งเป็น Full Time Trader ด้วยวัยเพียง 30 ปีต้นๆ แต่ผ่านประสบการณ์ในการเทรดทั้งในและต่างประเทศ มาอย่างโชกโชน และในด้านงานสอนยังเป็นวิทยากรคอร์ส “Freedom Trader” ที่มีลูกศิษย์ติดตามจำนวนมาก เพราะเนื้อหาการสอนที่กลั่นมาจากประสบการจริง ได้จริง เจ็บจริง และรู้จริง ทำให้เกิดการบอกต่อ จนคอร์สเทคนิคอล และคอร์สฟิวเจอร์ ของคุณหยง มีผู้จองเต็มอย่างรวดเร็ว

 

คอร์สสัมมนา : เทคนิคอลหุ้นมือใหม่ , ทำกำไร TFEX อย่างมืออาชีพ

 , (FT) Professional: New Market Timing Techniques: Sequential Count

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง