ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พอ SET ขึ้นมาแรงหน่อย กระแสเรื่องการลาออกมาเทรดหุ้นก็กลับมาอีกครั้ง. ภาพการเป็นเทรดเดอร์ ทำกำไรง่ายๆ ได้เรื่อยๆ มันเชื้อชวนนะ ผมเข้าใจความรู้สึกเลย ผมเองก็รู้สึกอยากแชร์อยากเล่าเรื่องนี้เพราะก็ได้ผ่านอารมณ์ "อยากลาออกมาเล่นหุ้น" มาเหมือนกัน เข้าใจเลยว่าเวลาเราไปถาม/ขอคำปรึกษาใคร ส่วนใหญ่มักจะห้าม อย่าออกมาเลย มันเสี่ยงเกิน ฯลฯ
ผมไม่ห้ามนะ "ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง คนจะคลอด พระจะสึก คนจะเล่นหุ้น" มันห้ามกันไม่ได้. ใจมันไปแล้ว แต่ก็อยากให้เวลากับการตัดสินใจนี้สัก 6 เดือน และดูว่าอีก 6 เดือนหลังจากนี้ยังปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกมาเล่นหุ้นเหมือนเดิมรึเปล่า. กับการตัดสินใจที่จะมีผลกับที่เหลือของชีวิต รอครึ่งปีถือว่าแป๊ปเดียว. และกับทุกการตัดสินใจใหญ่ๆ แบบนี้มีเช็คลิสท์ไว้หน่อยก็ดีนะครับ
เขาว่าถ้าได้บทเรียนจากความผิดพลาด ก็ไม่ถือว่าแพงเกินไป ซึ่งก็คงมีส่วนจริง แต่ลองผิดลองถูกบ่อยๆ เองหมดก็คงไม่ไหว กว่าจะเริ่มรู้ทางก็กินเวลาไปได้หลายปีอยู่ ผมอยากแชร์สิ่งที่ได้ทำและสิ่งที่ควรทำ (แต่มารู้ทีหลัง) ตอนที่ออกมาเทรดหุ้น และหวังว่าตรงนี้จะพอเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ ที่สนใจเอาจริงทางนี้ไว้เป็นแนวทางกันครับ..
1. เผื่อเงินไว้ใช้ 2 ปี โดยไม่พึ่งพอร์ตหุ้นเลย ส่วนใหญ่จะบอก 6 เดือนแต่ผมฟันธงเลยว่ามันไม่พอ ไม่ใช่เรื่องหากระแสเงินสดชดเชยไม่ทันนะครับ แต่ถ้าหน้าตักเหลือน้อย มันไม่อุ่นใจ รอบหุ้นปกติจะเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2 ปี นั่นคือขึ้นไปทำจุดสูงสุด-ลงมาทำจุดต่ำสุด และจุดที่เราเริ่มนั้นอาจเป็นช่วงไหนของรอบหุ้นก็ได้. หลายครั้งไปเริ่มกันที่ปลายรอบขาขึ้น เพลิดเพลินได้ไม่นานก็อาจต้องเจอกับขาลงหรือออกข้างยาวๆ ก็ได้ ซึ่งพักฐาน 6-9 เดือนเป็นเรื่องปกติ ถ้าเผื่อเงินไว้ใช้ไม่พอ กระแสเงินสดตัดขัด มันจะเริ่มพังตรงนี้ บางคนถอดใจเลิกเทรดหุ้น บางคนเริ่มมีแรงกดดันที่ต้องทำกำไร ก็เข้าไปเสี่ยงมากขึ้นโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สิ่งที่ทำก็จะไม่ต่างกับการพนัน การวัดดวง ไม่ใช่การเทรดอีกต่อไป.
ผมมั่นใจคนส่วนใหญ่เผื่อไม่ถึง 2 ปี ด้วยความประมาทตัวผมเองก็เผื่ผไม่ถึง และนั่นคือการตัดสินใจที่โง่ที่สุดของผม. ถ้าวางแผนเผื่อไว้หน่อย ชีวิตจะง่ายและพอร์ตไปได้ไกลกว่านี้อีกเยอะครับ พยายามจับตรรกะตรงนี้นะ เพราะเมื่อฐานทุนหด และไม่มีเงินใช้. ก็เลยจำเป็นต้อง "เทรดให้เร็ว" เน้นเทรด TF เล็กๆ เน้นตีหัวเข้าบ้าน เพราะต้องสร้างกระแสเงินสดทั้งๆ ที่มีรอบหุ้นใหญ่ๆ มา กลายเป็นทำกำไรได้แต่ถือไม่สุด และในรูปผลกำไรแตกต่างกันฟ้ากับเหวครับ. ถ้ารอบมันมา "ต้องถือให้สุด". เมื่อรอบมา หุ้นใหญ่ๆ นี่วิ่ง 50%+ ได้ หุ้นเล็กหน่อยขึ้น 100% เป็นเรื่องปกติ
ถ้ามีเผื่อเงินไว้ใช้น้อย สถานการณ์ชีวิตจะบังคับรูปแบบการเทรดให้เป็นการสร้างกระแสเงินสดไปโดยปริยาย. เหมือนจะดีเพราะได้ตังค์เรื่อยๆ มันคือการเสียโอกาสที่สุดที่ถ้าหุ้นรอบใหญ่มา แทนที่จะได้กำไรคำใหญ่ดันพอร์ตให้เปลี่ยนหลัก กลับต้องเสี่ยงเรื่อยๆ แล้วได้แค่กระแสเงินสดแทน. ในตลาดทุน มองหาโอกาสที่ใหญ่ที่สุดเสมอ.
2. ตั้งโจทย์ให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าหวังพอร์ตเป็นเท่าไร หรือหวังผลตอบแทนปีละเท่าไร โจทย์ผิด! ตัวแปรมันเยอะไปครับ โดยเฉพาะในระยะสั้นมันขึ้นอยู่กับตลาดมากกว่า โจทย์ที่สำคัญกว่าผมว่าคือ กับเงินทุนก้อนนี้เราหวังที่จะเห็นผลตอบแทนเมื่อไร ที่เป็นตัวเงินเลยนะ ไม่ใช่ตัวเลขในพอร์ต นัยหนึ่งคือ เราต้องชัดว่า "ระยะหวังผล" เราคือเมื่อไร..
ถ้าหวังเห็นผลตอบแทนภายใน 3-12 เดือน แปลว่าเราต้องการกระแสเงินสด ซึ่งเป็นการเก็งกำไรมากกว่าลงทุนแล้ว ได้นะครับไม่ผิด. กำไรเหมือนกัน แต่เพราะหวังส่วนต่างราคาระยะสั้น เราต้องให้ นน. กับเรื่องเทคนิคมากกว่า อ่านพฤติกรรมราคา-แนวโน้มราคา ฯลฯ แต่ให้พึงรู้ไว้เลยนะ ขึ้นชื่อว่าเก็งกำไรระยะสั้น ตัวกำไรก็เล็กลงตามอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน. บางคนเถียงว่าไม่จริง เทรด Futures หรือ Forex เทรดได้เดือน 10%++ แป๊ปเดียวพอร์ตทบต้น เราจะไม่ประเมินแบบนั้นนะ ที่ถูกต้องคือประเมินกำไรบนฐานความเสี่ยงที่เกิดขึ้น. ความถี่ที่ต้องเข้าไปเสี่ยง ฯลฯ
แต่ถ้าพอรอเห็นผลตอบแทนได้ช้าหน่อย สัก 2-3 ปีขึ้นไปทิศทางราคาระยะสั้นเริ่มไม่มีผล แต่กลายเป็นทิศทางกิจการในระยะยาวแทน. แน่นอนว่าคราวนี้ต้องให้ นน. กับปัจจัยพื้นฐานมากกว่า เห็นภาพนะครับ มันไม่ใช่ว่าแนวไหนดี-ไม่ดี มันแล้วแต่ระยะหวังผลมากกว่า. ลองเช็คดูนะครับ ถ้าซื้อกิจการที่ดีในต้นทุนที่ไม่ได้แพงเกินไป ใน 3-8 ปี หุ้นไทยขึ้น 5 เด้งหาไม่ยาก และถ้ารอสัก 2-3 ปีสำหรับการพักฐานใหญ่ก่อนเข้าซื้อหุ้นไม่ได้ ก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาวครับ
และอย่าเพิ่งรีบเอาเทคนิคกับพื้นฐานมาผสมกัน มันฟังดูเท่ห์ผมเข้าใจ นักลงทุนไฮบริด ใช้ทั้ง 2 แบบ ลองพินิจพิเคราะห์ดีๆ มันไม่ใช่นะ ใช้พื้นฐานเลือกหุ้นและใช้เทคนิคจับจังหวะซื้อฟังเหมือนใช่ แต่ถ้าเกิดจังหวะขาย ส่วนใหญ่ขาย ยังงี้เรียกเก็งกำไรครับ
ทริคที่ผมอยากแชร์คือ อย่าเอาทั้งพอร์ตไปเก็งกำไร ผมพลาดตรงนี้มากๆ เลย โจทย์ต่อยอดจากเรื่องระยะหวังผลคือให้ตั้งธงว่าเราหวังผลตอบแทน "ขั้นต่ำต่อปี" เท่าไร หรือเงินที่เราต้องการถอนมาใช้ต่อปีเท่าไร ยกอย่างเช่นหวังขั้นต่ำปีละ 15% ก็ให้ออกแบบการเทรดเพื่อสร้างกระแสเงินสดปีละ 15% หรือเดือนละ 1.25% เท่านั้นพอ คิดดูนะการเก็งจะง่ายและไม่กดดัน ยิ่งเมื่อเรารู้จักหลักของ Leverage ใน Futures หรือ Options/DW แล้วนะ เราจะไม่ได้ใช้เงินทั้งพอร์ตไปเก็งฯ ให้ได้เดือน 1.25% หรอกครับ. ใช้หน่อยเดียว และจะมีทุนเหลืออีกพอสมควรเลย ทุนที่เหลือนี่แหละ รอจังหวะ และซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว. หวังกินคำใหญ่ ทำเงินก้อนนี้ให้ "พอร์ตโตเปลี่ยนหลัก" ทุนส่วนนี้แหละที่จะสร้างความมั่งคั่งและอิสรภาพทางการเงินให้เราอย่างแท้จริง. แต่ให้รู้ไว้เลยนะ ว่าไม่ใช่แป๊ปๆ แน่นอน. เราคุยอย่างน้อย 8 ปี หรือ 1 รอบหุ้นใหญ่
เทรดทำให้รวยได้ แต่ปันผลต่างหากที่จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง ผมเอาทั้งพอร์ตไปเก็งฯ และเพลิดเพลินกับกำไรระยะสั้นที่อยู่ตรงหน้า ทำให้พลาดจังหวะปั้นพอร์ตให้สร้างปันผลให้เรา กลายเป็นต้องรอรอบหน้า อิสรภาพทางการเงินช้าลงไปอีก..
ยังไม่หมดนะครับ แต่เขียนไปเขียนมาชักยาว.. ขออนุญาตต่อเป็นตอน 2 แทน แล้วจะกลับมาต่อนะครับ
---------------------
สนใจคอร์ส เทคนิคอลหุ้นมือใหม่ โดย หยง ธำรงชัย คลิก