The Simple Path to Wealth
สรุป 3 หนทางเรียบง่ายสู่ความมั่งคั่ง ที่แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถทำได้
ความมั่งคั่ง (Wealth) คืออะไร ?

หลายๆคนอาจจะสรุปว่า มันคือความร่ำรวย การมีเงินมากๆและสามารถหาซื้อของได้อย่างที่เราต้องการ
แต่สำหรับคุณ JL Collins ไม่ได้นิยามว่าความมั่งคั่งคือการมีเงินมากๆ แต่หมายถึงการมี"อิสระ" ในด้านของเวลา ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ
ประเด็น คือ หนทางสู่ความมั่งคั่งเต็มไปด้วยความยากและท้าทาย หรือบางคนคิดว่าจะต้องมีแต้มต่อเหนือคนอื่น เช่น พ่อแม่ร่ำรวย หรือมีฐานะดีอยู่แล้ว
แต่คุณ Collins แนะนำว่ามันมีหนทางสู่ความมั่งคั่งที่เรียบง่ายและสามารถนำไปใช้ได้จริงที่แม้แต่คนธรรมดาไม่ได้เกิดมาร่ำรวยก็สามารถนำไปใช้ได้
โดยเขาได้แนะนำวิธีการ 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
1. ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่หาได้ (Spend less than you earn)
2. หลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ (Avoid debt)
3. นำเงินที่เหลือไปลงทุน (Invest the surplus)
.
ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่หาได้ (Spend less than you earn)
คุณ Collins แนะนำว่า หัวใจสำคัญของการสร้างความมั่งคั่ง คือ รายได้ต้องมากกว่ารายจ่ายอยู่เสมอ
ต่อให้เรามีรายได้มาก แต่ถ้ารายจ่ายเรามากกว่า เราก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เราเป็นทาสของงานที่ต้องหาเงินอยู่ตลอดเวลา
ยกตัวอย่าง เช่น นักมวยระดับโลกอย่าง Mike Tyson ที่แม้จะมีรายได้มหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่สุดท้ายก็ล้มละลาย เพราะใช้จ่ายเกินตัว
เราต้องไม่ลืมว่า การที่เรามีพร้อมทุกอย่างแต่ต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา นั่นเป็นเพราะว่า "คุณเป็นเจ้าของสิ่งของ และสิ่งของเหล่านั้นก็เป็นเจ้าของคุณในทางกลับกัน" การมีสิ่งของมากมายทำให้คุณต้องใช้ทั้งพลังงานและเงินในการดูแลรักษา จนกลายเป็นภาระ
คุณ Collins ไม่ได้บอกว่า เราต้องลดค่ากาแฟ หรือเราต้องลดค่าใช้จ่ายกับสิ่งที่เราชื่นชอบ
แต่เขาแนะนำว่า คนที่จะผ่านข้อนี้ได้ต้องมี "สามัญสำนึก" กับการควบคุมรายจ่ายของตัวเอง
เป้าหมายคือการทำให้แน่ใจว่าจะมีเงินเหลือจากการใช้จ่าย และคงสถานะนั้นไว้ให้ได้ตลอด
.
หลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ (Avoid debt)
หลักการข้อที่สองที่สำคัญไม่แพ้กันคือการ "หลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ให้ได้เร็วที่สุดและอยู่ห่างจากมันตลอดไป"
แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าหนี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่สำหรับคุณ Collins แล้ว หนี้สินเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง
โดยเขาเปรียบเทียบไว้ว่า "การมีหนี้สิน ก็ไม่ต่างอะไรกับการมีปลิงเกาะเต็มตัว" เพราะหนี้จะคอยกัดกินเงินของคุณไปเรื่อยๆ
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะมีหนี้แบบไหน ก็ควรเร่งชำระให้หมดโดยเร็วที่สุด
เมื่อคุณเป็นอิสระจากหนี้สินแล้ว เงินส่วนเกินที่คุณเคยนำไปจ่ายหนี้ก็จะกลายเป็นเงินที่สามารถนำไปลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้เติบโตได้
คุณ Collins ยังแนะนำว่า คนหลายคนมองว่าเราสามารถเป็นหนี้ได้ ถ้าหนี้นั้นเป็น "หนี้ที่ดี" เช่น เพื่อการศึกษา ธุรกิจ และหนี้บ้าน
โดยเขาแนะนำว่าอะไรที่ขึ้นชื่อว่า "หนี้" ไม่มีอะไรที่ดีอยู่แล้ว
หนี้ธุรกิจ ต้องจัดการอย่างรอบคอบ เพราะเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ และเป็นภาระผูกพันระยะยาว
ส่วนหนี้เพื่อการศึกษาเขาเชื่อว่าไม่ควรมีอยู่ตั้งแต่แรก เพราะมันทำให้ค่าเล่าเรียนสูงขึ้นและบังคับให้คนต้องทำงานที่ไม่ชอบ
ส่วนหนี้บ้าน เขาแนะนำให้ "ซื้อบ้านหลังเล็กที่สุดที่ตอบโจทย์ความต้องการ แทนที่จะซื้อบ้านหลังใหญ่ที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถจ่ายได้"
เพราะบ้านที่ใหญ่ขึ้นจะกลายเป็นภาระทางการเงินที่ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ
.
นำเงินที่เหลือไปลงทุน (Invest the surplus)
คุณ Collins เชื่อว่า ถ้าใครผ่านสองข้อแรกมาได้แล้ว หนทางสู่ความมั่งคั่งก็จะอยู่ไม่ไกล แต่ขั้นตอนที่ 3 ยากที่สุดและซับซ้อนที่สุด
เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความรู้ความสามารถนำเงินที่เรามีไปลงทุนต่อยอดได้ แต่วิธีที่ง่ายและซับซ้อนน้อยที่สุด คือ การลงทุนในกองทุนดัชนี
เขาแนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนีที่ครอบคลุมตลาดหุ้นทั้งหมด เช่น Vanguard Total Stock Market Index Fund (VTSAX)
ประเด็นสำคัญ คือ การมีวินัยในการลงทุนเป็นแค่ก้าวเล็กๆของการลงทุนและต่อยอดให้เงินมีมูลค่าที่งอกเงย
ก้าวที่ยิ่งใหญ่กว่า คือ การยืนหยัดอยู่กับมันเมื่อตลาดเกิดวิกฤต
คุณ Collins บอกว่า ช่วยที่ตลาดเกิดวิกฤต "ผู้คนรอบตัวคุณจะตื่นตระหนก สื่อจะตะโกนว่าขาย ขาย ขาย!"
แต่ในท้ายที่สุดแล้วตลาดหุ้นมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ที่อดทนและลงทุนในระยะยาวเสมอ
เมื่อพอร์ตการลงทุนของคุณเติบโตถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว เช่น 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
คุณสามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ 3-7% ต่อปีอย่างปลอดภัย โดยอิงจากกฎ 4% (4% rule) ซึ่งเป็นจุดที่อิสรภาพทางการเงินจะกลายเป็นของคุณอย่างแท้จริง
.
ทั้งนี้ คุณ Collins แนะนำว่า อย่าเสียเงินไปกับเรื่องไร้สาระ และไม่มีประโยชน์
เช่น การดื่มเหล้า หรือการสูบบุหรี่ ไม่ใช่แค่เปลืองเงินเท่านั้น แต่ยังทำร้ายสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย
ซึ่งถ้าทำได้ตามนี้ เราก็สามารถมั่งคั่ง และมีอิสรภาพได้
.
แถมท้ายข้อมูลอีกนิด : เราอาจจะสงสัยว่า อะไรคือ กฏ 4%
จากงานวิจัย Trinity Study ที่วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังตลาดหุ้น และพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา มาหลายสิบปี
พบว่าถ้าถอนเงินปีละ 4% ของเงินต้น จะมีโอกาสสูงมาก ที่ตอนเกษียณ เงินจะพอใช้ได้นานกว่า 30 ปี เพราะพอร์ตลงทุนได้โตขึ้น จนชดเชยเงินที่ถอนออกไป นั่นเอง
#TheSimplePathToWealth #อิสรภาพทางการเงิน #การเงินส่วนบุคคล #หนทางเรียบง่ายสู่ความมั่งคั่ง #JLCollins #วางแผนเกษียณ #Stock2morrow