AOT กับประเด็น King Power จะจบลงเมื่อไร ?
.
AOT กับประเด็น King Power รู้สึกว่าไตรมาสนี้ผลประกอบการจะสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน สาระสำคัญ คือ
1. กำไรลดลง: กำไรหลัก (core profit) อยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
2. รายได้ลดลง: รายได้รวมลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- รายได้จากค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร (PSC Revenue): ลดลง 5% เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศลดลง 4% แม้ว่าผู้โดยสารในประเทศจะเพิ่มขึ้น 5% ก็ตาม
- รายได้จากสัมปทาน (Concession Revenue): ลดลง 11% สาเหตุหลักมาจากการเรียกคืนพื้นที่เชิงพาณิชย์ และการยกเลิกการขายสินค้าปลอดภาษีขาเข้า (inbound duty-free shops)
.
รายได้ลด กำไรลด ยังไม่พอ ไปดูฝั่งรายจ่ายกลับเพิ่มขึ้นซะอย่างนั้น โดยค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 5% หลักๆ มาจากค่าใช้จ่ายพนักงาน (+7% YoY) และค่าบำรุงรักษา (+26% YoY) ส่งผลให้อัตรากำไรในภาพรวมลดลงตามไปด้วยโดยลดลงเหลือ 31% จาก 38%
ผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2565 ลดลง 6% อยู่ที่ 14.2 พันล้านบาท
เรียกได้ว่า ผลประกอบการดูไม่ดีเอาซะเลย
สอดคล้องกับราคาหุ้นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย -33% ไปแล้วในรอบ 12 เดือน ...
.
สำหรับสาเหตุนั้น นักลงทุนก็น่าจะรู้อยู่แล้ว คือ ประเด็นเรื่องของสัญญาสัมปทาน Duty-Free กับ King Power ที่ถือเป็นผู้เช่ารายใหญ่ ในคำอธิบายบอกชัดเจนว่า King Power ได้จ่ายค่าส่วนแบ่งรายได้เพียง 20% และขอเลื่อนการจ่ายเงินประกันขั้นต่ำที่เหลือออกไป 8 เดือน ทำให้ยอดลูกหนี้ที่ค้างชำระจาก King Power อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565
สถานการณ์นี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในเรื่องรายได้จากสัมปทาน นักลงทุนจึงเทขายออกมาก่อน
อย่างไรก็ตาม AOT ได้ทำการศึกษาสัมปทานร้านค้าปลอดภาษี (ไม่รวมธุรกิจค้าปลีก) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางเดือนกันยายน 2565
.
ส่วนอีกประเด็นที่ยังน่ากังวล คือ การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร (PSC)
การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศและในประเทศสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านมติคณะรัฐมนตรี เพียงแค่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) แต่ประเด็นคือ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม PSC จากผู้โดยสารที่ทำการต่อเครื่อง (transit/transfer) ยังไม่สามารถทำได้ทันทีเนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย ซึ่งต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติการเดินอากาศที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ทำให้นักลงทุนยังต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ความชัดเจนจะเกิดขึ้นเมื่อไร
.
แน่นอนว่า ไตมาสนี้ ถือเป็นผลประกอบการไตรมาสแรกที่สะท้อนความกังวลเด่นชัดที่สุด รายได้ลด กำไรลด สวนทางกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
บทวิเคราะห์หลายแห่งเริ่มมีการปรับเป้าราคาหุ้น AOT ลงมาเรื่อยๆโดยให้เหตุผลว่า ความไม่แน่นอนของสัญญาสัมปทาน Duty-Free และ รอความชัดเจนเรื่องการปรับขึ้น PSC
แต่คิดว่าตลาดน่าจะกังวลกับประเด็นแรกมากกว่า ถ้าเรื่องของ King Power ยังไม่จบ ราคาหุ้น AOT ก็น่าจะถูกกดดันอยู่ต่อไป
.
หมายเหตุ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุน
#stock2morrow #AOT #Kingpower