"ROIC" ตัวเลขคัดกรองหุ้นคุณภาพอย่างไรให้ไม่พลาด
.
เราเคยสงสัยไหมว่า บริษัทที่เรากำลังจะลงทุนนั้น "เก่ง" ในการใช้เงินของผู้ถือหุ้นไปสร้างกำไรได้ดีแค่ไหน ? แล้วเราจะสามารถตรวจสอบได้จากตัวเลขประเภทไหน
คำตอบอยู่ในตัวเลขสำคัญที่ชื่อว่า 'ROIC'
ROIC (Return on Invested Capital) หรือ "ผลตอบแทนจากเงินลงทุน" คือเครื่องมือที่ช่วยให้เราประเมินความสามารถของบริษัทในการใช้เงินทุน (ทั้งจากผู้ถือหุ้นและหนี้สิน) เพื่อสร้างกำไรกลับมา
พูดง่ายๆก็คือ ROIC บอกว่าบริษัทใช้เงินทุนได้อย่างคุ้มค่าแค่ไหน

.
สูตรในการคำนวนแบบง่ายๆ คือ
ROIC = กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (NOPAT) / เงินลงทุนทั้งหมด
กำไร (NOPAT): คือกำไรที่มาจากธุรกิจหลักจริงๆ ของบริษัท
เงินลงทุนทั้งหมด: คือเงินทุนที่บริษัทได้มาจากผู้ถือหุ้นและเงินกู้ยืม
.
คำถามคือ แล้ว ROIC เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่า "ดี"?
การจะบอกว่า ROIC ดีหรือไม่ดีนั้น ไม่ได้ดูแค่ตัวเลขอย่างเดียว แต่เราต้องเอาไปเปรียบเทียบกับ "ต้นทุนทางการเงิน" (WACC) ของบริษัท
1. ถ้า ROIC > WACC ถือเป็นสัญญาณที่ดี บริษัทกำลังสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าต้นทุนเงินทุนที่ต้องจ่าย
นั่นหมายความว่า บริษัทกำลังสร้างมูลค่าเพิ่มและเติบโตอย่างแท้จริง
2. ถ้า ROIC < WACC ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดี บริษัทไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่ากับเงินลงทุนที่ได้มา อาจบ่งชี้ถึงปัญหาในโมเดลธุรกิจระยะยาว
.
แล้ว WACC คืออะไร หาได้จากที่ไหน ?
WACC (Weighted Average Cost of Capital) หรือ "ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก" คือต้นทุนเฉลี่ยของเงินทุนทั้งหมดที่บริษัทใช้ในการดำเนินงาน
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเรากู้เงินจากธนาคารมาทำธุรกิจ คุณต้องจ่าย "ดอกเบี้ย"
หรือถ้าเราระดมทุนจากผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นก็คาดหวัง "ผลตอบแทน" จากเงินที่ลงทุน
WACC คือค่าเฉลี่ยของต้นทุนเหล่านี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกว่าบริษัทต้องทำกำไรอย่างน้อยเท่าไหร่เพื่อที่จะจ่ายคืนให้กับเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นทั้งหมด
ซึ่งตัวเลข WACC นักลงทุนอาจไม่จำเป็นต้องคำนวนด้วยตัวเอง เราอาจจะหาตัวเลขจากบทวิเคราะห์หลักทรัพย์หรือแพลตฟอร์มการลงทุน
และโดยส่วนใหญ่บริษัทที่มีคุณภาพจะถูกวิเคราะห์และมีค่า WACC ระบุไว้ให้คุณนำไปใช้ในการเปรียบเทียบกับ ROIC ได้เลย
.
แล้วเรายังนำ ROIC ไปใช้อย่างอื่นได้อีกไหม ? ใช้อย่างไรให้เป็นประโยชน์
1. เปรียบเทียบกับคู่แข่ง : ดูว่า ROIC ของบริษัทที่คุณสนใจสูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือไม่ ถ้าสูงกว่า แสดงว่าบริษัทนั้นบริหารจัดการเงินทุนได้เก่งกว่า
2. ใช้ร่วมกับ P/E Ratio : บริษัทที่มี ROIC สูงอย่างสม่ำเสมอ มักจะสมควรมี P/E Ratio ที่สูงกว่า เพราะนักลงทุนยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับคุณภาพและความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าในระยะยาว
.
สรุปแล้ว ROIC เป็นตัวชี้วัดที่ทรงพลังที่ช่วยให้เรามองเห็น "คุณภาพที่แท้จริง" ของธุรกิจได้ดีขึ้น
การรู้จักและใช้ ROIC จะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนในบริษัทที่ใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีโอกาสเติบโตในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
#stock2morrow #ROCI #หุ้นคุณภาพ