BCH: หุ้นโรงพยาบาลร่วง 23% ใน 1 ปี... มองหาโอกาสในวิกฤต?
.
บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลทั้งหมด 15 แห่งทั่วประเทศไทย ด้วยจำนวนเตียงรวม 2,323 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยทุกระดับชั้น ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ โรงพยาบาลเวิลด์เมดคอล, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และโรงพยาบาลการุญเวช

.
BCH ยังคงเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดแก่ผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคมของประเทศไทย แม้ว่าจำนวนผู้ประกันตนที่ใช้บริการจะลดลงกว่า 1 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 7% ของผู้ประกันตนทั้งหมดในระบบ
.
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลโดยรวมให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก แม้ในอดีตจะถูกมองว่าเป็นหุ้นเติบโตและเป็นกลุ่มที่ตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวในธีมสังคมผู้สูงอายุ และเทรนด์การดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น แต่ด้วยสภาวะตลาดหุ้นไทยที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลต่างปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
.
BCH เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัด โดยราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้วถึง -14% ภายใน 6 เดือน หรือถ้ามองในระยะยาวกว่านั้น ราคาลดลงถึง -23% ในรอบ 12 เดือน ส่งผลให้ค่า P/E ลดลงต่ำสุดในรอบหลายปีมาอยู่ที่ 22 เท่า และให้อัตราเงินปันผลที่น่าสนใจประมาณ 3.1%
.
นอกจากสภาวะตลาดหุ้นไทยที่ไม่เอื้ออำนวยแล้ว สาเหตุสำคัญอีกประการคือ ผลประกอบการที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรปรับตัวลดลงติดต่อกันถึง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2566 ซึ่งเป็นผลจากการที่ธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติหลังโควิด-19 และในปี 2567 เป็นผลจากรายได้ผู้ป่วยชาวคูเวตที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 1/2568 รายงานกำไรสุทธิ 321 ล้านบาท ซึ่งนับว่าดูดีขึ้นและเติบโตได้ดีเกือบทุกกลุ่ม
.
คำถามคือ แนวโน้มของ BCH ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร และมีโอกาสให้นักลงทุนได้เห็นแสงสว่างบ้างหรือไม่?
หากเราพิจารณาจากบทวิเคราะห์ต่างๆ จะพบว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 คาดว่าจะดีกว่าที่ผ่านมา และโมเมนตัมที่ดีจะส่งผ่านต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3/2568 ด้วย 3 ปัจจัยหลักดังนี้:
.
1. โรงพยาบาลเดิมแข็งแกร่งขึ้น + บริการใหม่เพิ่มโอกาส:
BCH กำลังจะยกระดับโรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี ให้เป็นโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี ในช่วงต้นปี 2568 เพื่อขยายการรองรับทั้งผู้ป่วยประกันสังคมและผู้ป่วยทั่วไปที่จ่ายเงินเอง นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มบริการใหม่ๆ ที่สำคัญ เช่น การฉายรังสี และบริการรักษามะเร็งด้วยกัมมันตรังสีเคลื่อนที่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ และ BCH ยังมุ่งขยายตลาดสู่ต่างประเทศอย่างเมียนมาและมัลดีฟส์ โดยมีข้อตกลงส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลพันธมิตรมายังเครือ BCH
.
2. โรงพยาบาลใหม่พ้นจุดขาดทุน เตรียมสร้างกำไร:
โรงพยาบาลใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ, เวียงจันทน์, และปราจีนบุรี ที่เคยเป็นภาระการขาดทุนจำนวนมาก คาดว่าจะขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 (จากขาดทุน 290 ล้านบาทในปี 2566 เหลือเพียง 100 ล้านบาทในปี 2568) โดยเฉพาะโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในปี 2568
.
3.ไตรมาส 3 พีคสุด + บริการเสริมใหม่หนุนรายได้:
ไตรมาส 3 เป็นช่วงที่ธุรกิจโรงพยาบาลมักจะทำรายได้สูงสุด (High Season) และ BCH กำลังขยายบริการใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เช่น คลินิกศัลยกรรมตกแต่ง, คลินิกควบคุมน้ำหนัก, และคลินิกดูแลผิวพรรณ ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มแหล่งรายได้ให้กับโรงพยาบาลในเครือ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนปรับปรุงศูนย์ผู้ป่วยนอก (OPD) ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่สร้างรายได้เป็นอันดับ 3 หรือประมาณ 13% ของรายได้ทั้งหมด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย
.
โดยภาพรวมแล้ว ตลาดมองไปในทิศทางบวกสำหรับหุ้น BCH แต่ราคาหุ้นกลับสวนทางอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความกังวลจากหลายสาเหตุทั้งปัจจัยภายในและภายนอก อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่าราคาหุ้นที่ลดลงจนทำให้ Valuation หลายอย่างต่ำสุดในรอบหลายปี ในขณะที่ปัจจัยบวกข้างหน้ายังมีอยู่ อาจเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองการลงทุนในระยะยาว
.
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเชียร์ซื้อหรือขายหุ้น การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุน
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #ประเทศไทย #เศรษฐกิจ #การลงทุน #การเงิน