เมื่อเราถาม AI ว่า US Tariffs กระทบ SET Index มากแค่ไหน
ผลเป็นอย่างไร Stock2morrow จะสรุปให้ฟัง
.
ประเด็นร้อนแรงที่สุดในช่วงนี้ที่นักลงทุนไทยควรจับตาอย่างใกล้ชิดคือ "US Tariffs" หรือมาตรการภาษีนำเข้าที่สหรัฐอเมริกาอาจเรียกเก็บจากสินค้าไทย
ซึ่งเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกเท่านั้น แต่ยังสั่นคลอนตลาดหุ้นไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบมีมากแค่ไหน และกระทบต่อหุ้นไทยเป็นอย่างไร วันนี้ Stock2morrow จะสรุปให้ฟัง

.
ทำไม US Tariffs ถึงสำคัญกับไทย?
สหรัฐอเมริกาถือเป็นคู่ค้าและตลาดส่งออกสำคัญของไทย สินค้าไทยจำนวนมากพึ่งพาตลาดนี้ในการสร้างรายได้ หากสหรัฐฯ ตัดสินใจเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าไทยในอัตราที่สูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบต่อเนื่องไปถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
บทวิเคราะห์ต่างๆ ชี้ชัดว่าผลกระทบจะมากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับ "อัตราภาษี" ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากไทย
ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 Scenario หลักๆ แบบนี้ครับ
.
Scenario ที่ 1 : กรณีแย่ที่สุด (Worst Case Scenario) – ภาษีสูงปรี๊ด
นี่คือสถานการณ์ที่หนักที่สุดที่เราต้องเตรียมรับมือ หากสหรัฐฯ เลือกที่จะเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตราที่สูงมาก อาจสูงถึง 25% หรือ 37%
ซึ่งบทวิเคราะห์มองว่ามีความเป็นไปได้ประมาณ 30%
ในกรณีนี้เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก คาดการณ์ว่าการเติบโตของ GDP ในปี 2568 อาจชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด (เติบโตเพียง 0.9%)
gมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็จะลดลงตามไปด้วย คาดว่าจะเหลือประมาณ 73 บาทต่อหุ้น
ฉุดเป้าหมายของ SET Index แตะระดับ 980 จุด หรือต่ำกว่า 1,000 จุดได้เลยทีเดียว
.
Scenario ที่ 2 : กรณีฐาน (Base Case Scenario) – กลางๆ ไม่แย่มาก
นี่คือสถานการณ์ที่บทวิเคราะห์ให้โอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดถึง 60% หากการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงได้บางส่วน และมีการเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ปานกลางประมาณ 15-20%
ในกรณีนี้เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตได้ แต่จะชะลอตัวลงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เล็กน้อย โดย GDP Growth ในปี 2568 อาจอยู่ที่ประมาณ 1.4% ซึ่งยังถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีอยู่บ้าง กำไรของบริษัทจดทะเบียนอาจอยู่ที่ราว 82 บาทต่อหุ้น และ SET Index มีโอกาสที่จะประคองตัวอยู่ได้ที่ระดับ 1,280 จุด
หรืออาจเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเหนือ 1,000 จุดได้
ในสถานการณ์นี้ ตลาดอาจมีการรับรู้ข่าวร้ายไปบ้างแล้วและมูลค่าหุ้นไทยก็ไม่ได้แพงมากนัก
อาจมีการย้ายฐานการผลิตหรือการส่งออกสินค้าบางประเภทจากจีนมาไทยได้บ้าง แต่ผลกระทบเชิงบวกอาจมีจำกัด
.
Scenario ที่ 3 : กรณีดีที่สุด (Best Case Scenario) – ฟ้าเปิดทาง
สถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด ประมาณ 10% หากไทยสามารถเจรจาลดภาษีลงได้สำเร็จ หรือสหรัฐฯ ตัดสินใจเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำมาก หรืออาจไม่เก็บเลบ
ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่สหรัฐฯ อาจยกเลิกภาษีโดยคำสั่งศาลในปลายปี 2568 นี้
หากเป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจำกัด และอาจเติบโตได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายเดิมที่รัฐบาลตั้งไว้ หรือประมาณ 1.8%
กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะกลับมาอยู่ในระดับที่ดีขึ้นที่ 87 บาทต่อหุ้น และ SET Index มีโอกาสที่จะฟื้นตัวแข็งแกร่ง
อาจกลับไปแตะระดับ 1,360 จุดได้อีกครั้งเลยทีเดียว
.
สุดท้าย เราต้องไม่ลืมว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ "ความผันผวน" ในตลาดหุ้นไทยจะยังคงอยู่
นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการลงทุนหรือย้ายเงินทุนไปยังตลาดอื่นในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า เช่น เวียดนามหรืออินเดีย
นอกจากนี้ การปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยนักวิเคราะห์ก็เป็นสัญญาณที่ต้องใส่ใจ
รัฐบาลไทยกำลังเร่งเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และอาจมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งต้องติดตามรายละเอียดต่อไป
สำหรับนักลงทุน การเลือกหุ้นในช่วงนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ บทวิเคราะห์แนะนำให้มองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีการจ่ายเงินปันผลดี (Dividend play), หุ้นที่ยังสามารถทำกำไรได้ดีในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว (Earnings play) หรือหุ้นที่มีธุรกิจในระดับโลกที่ไม่ได้พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ มากนัก (Global play)
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #สหรัฐอเมริกา #ประเทศไทย #เศรษฐกิจ #การลงทุน #การเงิน