ปัญหา JKN สรุปไทม์ไลน์วิกฤตเกิดอะไรขึ้นก่อนจะมีวันนี้
.
เมื่อไม่นานมานี้ นักลงทุนน่าจะได้ยินประเด็นของบริษัทเจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN มาบ้างแล้วว่าคุณแอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ และน้องสาว ที่ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในบอร์ดฯ และผู้บริหารของบริษัท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
การตัดสินใจลาออกครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อมีมติในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการถูกกล่าวโทษจาก ก.ล.ต. ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างการบริหารของ JKN ที่ต้องติดตามกันต่อไป
.
ประเด็น คือ ก่อนหน้านี้ JKN เกิดปัญหาอะไรและเกิดอะไรขึ้นก่อนที่จะมีวันนี้ ?
Stock2morrow จะเล่าให้ฟัง

.
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ปี 2565
เมื่อคุณแอน จักรพงษ์ ออกมาให้ข่าวว่า JKN เข้าเทกโอเวอร์ Miss Universe มงกุฎจักรวาล มูลค่า 800 ล้านบาท
ส่งผลให้มีนักลงทุนแห่เข้ามาเก็งกำไร 2 วันติด ทำให้ราคาหุ้นจาก 3.5 บาทต่อหุ้น ขึ้นไปสูงสุดที่ 5.7 บาทต่อหุ้น
.
ต่อมาในวันที่ 23 พฤศจิกายน ปี 2565
คุณแอน จักรพงษ์ แจ้ง กลต.ว่าได้ขายหุ้น JKN จำนวน 70 ล้านหุ้น ราคาจาก 4.94 บาท จนถึง 4.10 บาทต่อหุ้น
โดยเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ได้เงินสดมาราวๆ 310 ล้านบาท
.
ในวันที่ 6 มกราคม ปี 2566
ทาง JKN มีมติเพิ่มทุน 1,019 ล้านหุ้น ขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน 1:1 ในราคาหุ้นละ 3 บาท
ซึ่งคุณแอน จักรพงษ์ ถือหุ้นอยู่ 183 ล้านหุ้น
ซึ่งถ้าคุณแอน เพิ่มทุนทั้งหมด จะต้องใช้เงินกว่า 549 ล้านบาท
ส่งผลให้ราคาหุ้นตลาด ณ เวลานั้น ถูกถล่มขายลงมาเพราะตกใจข่าวเรื่องของการเพิ่มทุน
และไม่เคยมี "เค้าลาง" ของการที่จะเพิ่มทุนมาก่อน
โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย ที่แห่ไปซื้อตอนราคาแถวๆ 5 บาท ต่างก็บาดเจ็บจากราคาหุ้นที่ลดลงมาอย่างรวดเร็ว
ในวันนั้น ราคาหุ้น JKN ร่วงติดฟลอร์ที่ 3.40 บาทต่อหุ้น
.
ในวันที่ 1 กันยายน 2566
JKN มีกระแสข่าวเรื่องของการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว "วิกฤตศรัทธาหุ้นกู้" ในตลาดทุนไทย ว่าจะมีบริษัทไหนผิดนัดชำระหนี้อีกบ้าง
และในวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2566
ทางคณะกรรมการ JKN มีมติยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ และศาลล้มละลายกลางรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ
ราคาหุ้น JKN ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 0.25 บาทต่อหุ้น ทำให้นักลงทุนรายย่อยขาดทุนกันอย่างหนัก
แล้วกระแสข่าว JKN ก็เงียบหายไปจนกระทั่งช่วงกลางเดือนมกราคม ปี 2567 ก็มีข่าวลือว่า JKN ได้ขายธุรกิจ "มิสยูนิเวิร์ส" ออกไปแล้ว
ท่ามกลางข้อสงสัยของนักลงทุนตอนนั้นว่า ขายตอนไหน อะไรและยังไง ?
.
จนวันที่ 22 มกราคม 2566
ตลาดหลักทรัพย์ ได้ยื่นหนังสือให้ JKN ชี้แจงกรณีขายกิจการ "มิสยูนิเวิร์ส" ออกไป
ซึ่งทาง JKN ตอนกลับมาในวันถัดไปว่า JKN ได้ขายหุ้น 50% ของ JKN Legacy ได้เงินมาราวๆ 582 ล้านบาท
โดยแบ่งชำระเป็น 3 งวด คือ ภายในเดือนธันวาคม 2566 เดือนพฤษภาคมและเดือนกันยายน 2567
ตรงจุดนี้เลยเกิดข้อสงสัยว่า "ดีลนี้" ไปทำกันตอนไหน และเพราะเหตุใดถึงทำแบบนั้น
ในวันที่ 29 มกราคม ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การขาย JKN Legacy สามารถทำได้โดยไม่ต้องรายงานต่อตลาด เพราะ
1. JKN Global Content สามารถโอนหุ้นที่ซื้อขายได้ เนื่องจากข้อห้ามตามกระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นการต้องห้ามเฉพาะตัวของ JKN
2. การอนุมัติขาย JKN Legacy เป็นไปตามขอเขตอำนาจดำเนินการ และขนาดรายการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อยซึ่งมีมูลค่าขนาดรายการ น้อยกว่า 15%
ทำให้ไม่จำเป็นต้องได้รับมติที่ประชุมคณะกรรมการ
3. JKN มีแผนนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น JKN Legacy เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเป็นเงินหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อย และเพื่อสนับสนุนแผนการฟื้นฟูกิจการของบริษัท
และประเด็นเรื่องของ JKN ก็ยังไม่จบ ก็มีประเด็นใหม่ขึ้นมาคือเรื่องของการผิดนัดชะระหนี้หุ้นกู้
โดยเมื่อเดือนกันยายน JKN ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 452 ล้านบาท
จนถึงเดือนพฤศจิกายน คณะกรรมการมีมติให้ JKN ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ และศาลล้มละลายกลางรับคำร้องการขอฟื้นฟูกิจการกันต่อไป
.
เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว สิ่งที่นักลงทุนทั้งตลาดกำลังจับตากันอยู่ คือ ผลประกอบการของปี 2566 ทั้งปีจะออกมาเป็นอย่างไร ?
ปรากฏว่า JKN ขาดทุนหนักมากถึง 2.12 พันล้านบาท
ไม่เพียงแค่การขาดทุนอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่ออกมาพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็น
- การที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความคิดเห็น
- การขึ้นเครี่องหมาย SP และ CS หยุดการซื้อขาย และขึ้นเครื่องหมาย Caution เตือนนักลงทุน
เมื่อบริษัทขาดทุนเป็นเรื่องน่ากังวลแล้ว
แต่การที่ผู้ตรวจสอบบัญชีไม่แสดงความเห็นเป็นเรื่องที่น่ากังวลยิ่งกว่า และ JKN ก็เป็นแบบนั้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่และสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมาก
โดยสาเหตุที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินนั้น เพราะมีความไม่แน่นอนอยู่ 3 ประเด็นหลักด้วยกัน คือ
1. ขาดสภาพคล่องทางการเงินและการผิดนัดชําระหนี้ ทั้งหุ้นกู้และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่ง JKN ไม่สามารถเจรจาต่อรอง หรือหาแหล่งเงินทุนมาจ่ายหนี้สินที่ผิดนัดชําระได้
2. การยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการของ JKN ซึ่งศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้อง และมีผลให้หยุดพักชำระหนี้
ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องของสภาพคล่องและการชำระหนี้ เพราะยังมีความเสี่ยงจากการฟ้องร้องของเจ้าหนี้ และยังต้องรอคำตัดสินของศาล ว่าจะมีการฟื้นฟูกิจการหรือไม่
3. การจัดหาเงินและสภาพคล่องเพื่อใช้ในการดําเนินงาน
โดยในรายงานระบุว่า เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอน ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจ คําสั่งของศาลล้มละลายกลาง รวมถึงความสามารถในการประกอบธุรกิจของ JKN ซึ่งทั้งหมดอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีนัยสำคัญ
.
และการที่ผู้ตรวจสอบบัญชีไม่แสดงความคิดเห็น
ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมาย SP หรือ Suspension หยุดการซื้อขายหุ้น JKN ในเมื่อวานที่ผ่านมา
และสำหรับวันนี้ตลาดหลักทรัพย์จะยังขึ้นเครื่องหมาย CS ต่อไป
เพื่อเตือนนักลงทุนว่า รายงานของผู้สอบบัญชีฉบับล่าสุดมีลักษณะไม่แสดงความเห็น
จนกว่าบริษัทจะนำส่งงบการเงินที่ไม่มีลักษณะไม่แสดงความเห็น มาให้กับทางตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ เครื่องหมาย CS (Financial Statements) เครื่องหมายนี้ มีไว้เพื่อเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังและศึกษาข้อมูลในงบการเงินของบริษัทโดยละเอียด
.
และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของ JKN ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีวันนี้
เริ่มตั้งแต่การขายหุ้นของผู้บริหาร การเพิ่มทุน และการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้
ปัญหาของ JKN น่าจะต้องถูกกล่าวถึงไปอีกนาน เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จะนำมาเป็น Case Study ให้นักลงทุนได้ศึกษากันต่อไป
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #JKN