สรุปภาษีทรัมป์ตอนนี้ไปถึงไหนแล้วแบบเข้าใจง่ายๆและโพสเดียวจบ พร้อมกลยุทธ์การปรับพอร์ต
.
ดูเหมือนว่านโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์จะกดดันตลอดเป็นระยะ
สำหรับคนที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ก็พอจะจับประเด็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วสถานการณ์ตอนนี้อยู่ตรงจุดไหน
แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ติดตาม หรือติดตามแบบห่างๆก็คงจะสับสนว่า ตอนนี้เราอยู่ตรงจุดไหนของสถานการณ์
และที่สำคัญ คือ เราจะปรับพอร์ตการลงทุนในหุ้นของเราอย่างไรดี
วันนี้ Stock2morrow จะเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ และโพสเดียวจบ
.

นโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์เป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบยกมาใช้ในการหาเสียง โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือการลดภาระภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ข้อเสนอของทรัมป์ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการหาเสียงและยังไม่มีการสรุปเป็นกฎหมายที่ชัดเจน ซึ่งภาพรวมนโยบายภาษีแบบคร่าวๆ จะมีสาระสำคัญประมาณว่า
1. ลดภาษีนิติบุคคล
ปัจจุบันอยู่ที่ 21% (จากเดิม 35%) และอาจจะลดลงเหลือ 15% หรือ 20% โดยให้เหตุผลว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทสหรัฐฯ และกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าการลดภาษีมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น
.
2. ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
โดยเฉพาะสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง เพื่อเพิ่มอำนาจการใช้จ่ายและกระตุ้นการบริโภค
.
3. ภาษีศุลกากร (Tariffs)
ซึ่งเป็นประเด็นหลักกดดันตลาดอยู่ตอนนี้ ทรัมป์มีความมุ่งมั่นที่จะใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ และเพื่อบีบให้ประเทศคู่ค้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการค้า มีการพูดถึงการเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงสำหรับสินค้าจากบางประเทศ หรือการเก็บภาษีแบบครอบคลุมในอัตรา 10% สำหรับสินค้าจากทุกประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ในการลดการขาดดุลการค้าและสร้างรายได้เข้ารัฐ
.
4. ภาษีนำเข้าพลังงาน (Border Tax/Tariff on Energy Imports
มีแนวคิดที่จะเก็บภาษีนำเข้าสำหรับน้ำมันดิบหรือพลังงานจากต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการผลิตพลังงานภายในประเทศและลดการพึ่งพิงพลังงานจากภายนอก อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีลักษณะนี้อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม
.
5. การลดกฎระเบียบ (Deregulation)
ทรัมป์มีแนวคิดที่จะลดกฎระเบียบต่างๆ ที่มองว่าเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการเงินและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของภาคเอกชนได้
.
ซึ่งจาก 5 ข้อที่กล่าวมา สถานะปัจจุบันตอนนี้ คือ เป็นแค่ร่างนโยบาย และคำมั่นสัญญาในการหาเสียงเท่านั้น
หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในปลายปี 2024 และได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง นโยบายเหล่านี้จะต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายในสภาคองเกรส ซึ่งอาจมีการเจรจาต่อรอง แก้ไข หรือแม้แต่ถูกขัดขวาง หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรค
ดังนั้น ความไม่แน่นอนยังคงสูงอยู่
ประเด็นอยู่ที่ตลาดเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะการลดภาษีนิติบุคคลและมาตรการภาษีศุลกากร อาจส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการลงทุน เช่น
- กระตุ้นให้เกิดสงครามการค้ารอบใหม่ หากต้นทุนสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูง
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจจะแข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบต่อประเทศที่มีหนี้สกุลเงินดอลลาร์หรือประเทศที่พึ่งพาการส่งออก
- ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก สินค้าที่ผลิตในต่างประเทศจะมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ กระทบต่อราคาสินค้าให้เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก
.
บทวิเคราะห์จาก Bloomberg มองว่า ถ้าร่างนโยบายภาษีเกิดขึ้นจริงๆ จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่หุ้นทั่วโลกจะอยู่ในสภาวะผันผวนโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกหรือมีฐานการผลิตในต่างประเทศอาจได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากร
ในขณะที่ตลาดพันธบัตรการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอาจกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อพันธบัตรมากขึ้น
.
คำถาม คือ แล้วตลาดหุ้นไทย จะมีผลกระทบอย่างไร ?
คำตอบที่พอจะบอกได้ คือ เกิดผลกระทบเชิงลบ แล้วแนวโน้มเงินทุนน่าจะเกิดการ 'ไหลออก'
โดยเฉพาะถ้าหากเกิดสงครามการค้า หรือเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากนโยบายกีดกันทางการค้า อาจเห็นเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย เพื่อกลับไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในสหรัฐฯ
หุ้นกลุ่มที่จได้รับผลกระทบเชิงลบ ที่เห็นภาพได้ชัด คือ กลุ่มส่งออกที่ต้องพึ่งพาตลาดอเมริกา และสินค้านำเขจ้าจากจีนจะถูกเก็บภาษีสูงต้นทุนการผลิตอาจจะเพิ่มขึ้น
ในขณะที่กลุ่มหุ้นที่น่าจะได้รับผลกระทบเชิงบวก คือ หุ้นที่เน้นตลาดในประเทศ (Domestic Play) กลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์เพราะราคาน้ำมันดิบโลกอาจจะปรับตัวสูงขึ้น
.
ดังนั้น บทวิเคราะห์หลายแห่ง มองตรงกันว่านักลงทุนควรเลือกหุ้นที่ต้องประกอบไปด้วย พื้นฐานแข็งแกร่ง งบดุลแข็งแรง มีหนี้สินต่ำ และกระแสเงินสดที่ดี จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก
สุดท้ายแล้ว เราต้องไม่ลืมว่า นโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตา การทำความเข้าใจสถานะปัจจุบันของข้อเสนอเหล่านี้ การประเมินความเป็นไปได้ และการเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนและปรับพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
สิ่งสำคัญคือการมีสติ การกระจายความเสี่ยง และการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง เพื่อคว้าโอกาสและผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ไปได้
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #ภาษี #สงครามการค้า #ข่าวต่างประเทศ