#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน
#แนวคิดด้านการลงทุน
#มือใหม่เริ่มลงทุน
#วางแผนการเงิน

'สงครามส่งด่วน' ทำไมบางรายขาดทุนยับ แต่ยังไปต่อได้ ?

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
153 views

'สงครามส่งด่วน' ทำไมบางรายขาดทุนยับ แต่ยังไปต่อได้ ?

เบื้องหลังความสะดวกสบายที่เราคลิกสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ มีสมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือดของเหล่าบริษัทขนส่งพัสดุอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขายและผู้ซื้อ

เรามักจะได้ยินว่าการขนส่งมีการเติบโตขึ้นทุกปี แต่พอได้ยินข่าวประกาศผลประกอบการกลับพบว่าบริษัทขนส่งในประเทศไทย 'ขาดทุนยับ'

คำถามสำคัญ คือ บริษัทที่ขาดทุนถึงยังไปต่อได้ พวกเขายังมองเห็นอะไรและคาดหวังอะไรถึงยังคงดำเนินธุรกิจต่อ

Stock2morrow จะเล่าให้ฟัง

.

 

 

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทขนส่งในไทยมีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก บางบริษัทมีกำไร และบางบริษัทก็ขาดทุนมหาศาล

เช่น J&T Express ที่ขาดทุนถึง 7,093 ล้านบาท หรือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ KEX Express (Kerry Express) ที่ขาดทุน 3,880 ล้านบาท

การขาดทุนหนักขนาดนี้ ถ้าเป็นบริษัททั่วไปคงจะปิดกิจการไปแล้ว แต่เราจะเห็นว่าธุรกิจขนส่งยังไปต่อได้ อาจจะมีการปรับโครงสร้าง ปิดสาขาบางส่วน

แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้บริษัทเหล่านี้ยังคงยอมแบกรับการขาดทุน และพวกเขาเห็นอะไรในอนาคต ?

คำตอบ มีอยู่ 3 เหตุผลหลักด้วยกัน คือ

.

1. การช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด เพิ่ม Economy of Scale เพิ่มอำนาจในการกำหนดราคาสร้างกำไรเติบโตมหาศาลในอนาคต

หัวใจหลักของการยอมขาดทุนคือการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดให้ได้มากที่สุด บริษัทขนส่งเชื่อว่า "ยิ่งใหญ่ ยิ่งได้เปรียบ"

การยอมลดราคาค่าบริการหรือจัดโปรโมชั่นดุเดือดในช่วงแรก แม้จะทำให้รายรับต่อชิ้นลดลงจนไม่คุ้มทุน

แต่เป้าหมายคือการดึงดูดลูกค้าจำนวนมหาศาลให้เข้ามาใช้บริการ เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ให้เร็วที่สุด

เมื่อเครือข่ายขยายตัวจนใหญ่พอ จะเกิด "Economy of Scale" ที่ทำให้ต้นทุนต่อชิ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

และสามารถกลับมาทำกำไรในระยะยาวได้ นี่คือการลงทุนใน "Network Effect" ที่ยิ่งมีผู้ใช้มาก เครือข่ายยิ่งมีมูลค่ามากขึ้นนั่นเอง

.

2. เพิ่มขีดความสามารถ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี

ธุรกิจขนส่งเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก บริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น คลังสินค้าขนาดใหญ่ ศูนย์คัดแยกพัสดุอัตโนมัติ การจัดซื้อรถขนส่งจำนวนมาก รวมถึงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเส้นทาง การคัดแยก การตรวจสอบสถานะพัสดุ และลดความผิดพลาด

การลงทุนเหล่านี้ไม่ใช่แค่การ "ใช้จ่าย" แต่เป็นการ "ลงทุน" เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับปริมาณพัสดุที่เติบโตต่อเนื่องในอนาคต

ซึ่งผลตอบแทนอาจไม่ปรากฏในทันที แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อความยั่งยืน

.

3. เกมระยะยาว เพื่อสร้างกำไร ปูทางเข้าสู่ความเป็น 'มหาชน'

บริษัทขนส่งที่ยอมขาดทุนไม่ได้มองแค่กำไรในแต่ละไตรมาสหรือแต่ละปี แต่พวกเขากำลังเล่น "เกมระยะยาว" ที่เชื่อว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างเครือข่าย และการสร้างฐานลูกค้าที่ใหญ่พอ จะทำให้เกิดจุดคุ้มทุน (Break-even Point) และเริ่มทำกำไรได้อย่างยั่งยืนในที่สุด

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของบริษัทเหล่านี้คือ การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) แม้ในขณะที่ยังขาดทุนอยู่ก็ตาม

การทำ IPO ช่วยให้บริษัทสามารถระดมทุนก้อนใหญ่จากสาธารณะได้ ซึ่งเป็นเงินทุนสำคัญในการขยายกิจการ ลดภาระหนี้สิน และลงทุนในนวัตกรรมต่อไป

นอกจากนี้ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ยังเป็น "ทางออก" (Exit Strategy) ให้กับนักลงทุนรายแรกๆ เช่น VC และ Private Equity ที่เข้ามาลงทุนในบริษัทตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่มีกำไร ทำให้พวกเขาสามารถขายหุ้นและรับผลตอบแทนจากการลงทุนได้เมื่อบริษัทมีมูลค่าสูงขึ้น

.

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลย คือ Amazon(AMZN) บริษัทที่ยอมขาดทุนต่อเนื่องเป็นเวลานานเพื่อสร้างการเติบโตและส่วนแบ่งตลาด

ในช่วงแรกของการก่อตั้ง Amazon มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าและลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และเทคโนโลยี

แม้จะขาดทุนในหลายปีแรกหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1997 แต่กลยุทธ์นี้ทำให้ Amazon สามารถครองตลาดอีคอมเมิร์ซและขยายไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ เช่น Cloud Computing (AWS) ได้อย่างแข็งแกร่ง

ท้ายที่สุด Amazon ก็สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้อย่างมหาศาล และสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ถือหุ้นที่อดทนรอคอยมานานได้อย่างไม่น่าเชื่อ

.

สรุปแล้ว การขาดทุนของบริษัทขนส่งส่วนใหญ่จึงไม่ใช่สัญญาณของการล้มเหลวเสมอไป แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน "สงคราม" เพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำในตลาดที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าตลาดขนส่งพัสดุมีแนวโน้มที่เติบโต

เพียงแต่การแข่งขันที่ดุเดือน การเน้นไปที่ราคาและการบริการทำให้หลายบริษัทมีผลประกอบการที่ขาดทุน

ทั้งนี้ พวกเขากำลังเดิมพันกับอนาคตที่เชื่อว่าปริมาณพัสดุจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ต้นทุนต่อชิ้นถูกลงมากพอ พลิกกลับมาเป็นกำไรพร้อมกับการครองส่วนแบ่งการตลาดที่มากพอจะกำหนดราคาตลาดได้ในอนาคต

สุดท้าย บริษัทที่ประสบความสำเร็จก็มักจะปูทางเข้าสู่ความเป็น 'มหาชน' สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับนักลงทุนรายแรกๆ

.

แถมท้ายอีกนิด เราอาจจะสงสัยว่าแล้วบริษัทที่ขาดทุน พวกเขายังอยู่ต่อได้อย่างไร ?

คำตอบ คือ การระดมทุนจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง (Equity Funding) ไม่ว่าจะเป็น Venture Capital (VC) และ Private Equity (PE)

บริษัทขนส่งหลายแห่งเริ่มต้นจากการเป็นสตาร์ทอัพ หรือเป็นบริษัทที่ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์

พวกเขาระดมทุนจาก VC หรือ PE ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงสูงเพื่อแลกกับโอกาสในการเติบโตแบบก้าวกระโดด

นักลงทุนเหล่านี้จะอัดฉีดเงินทุนเป็นรอบๆ (Funding Rounds) เพื่อให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนและขยายกิจการ

.

หรืออีกกรณีหนึ่ง คือ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่

หมายความว่า บริษัทขนส่งบางแห่งถูกต่อยอดมาจาก Platform ขายของออนไลน์ ที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ Shopee มีขนส่งชื่อ 'SPX Express' ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Sea Group หรืออย่าง Lazada ก็จะมี 'LEX' บริษัทขนส่งเป็นของตัวเอง ซึ่งมี Alibaba เป็นบริษัทแม่คอยสนับสนุนเงินทุน

การขาดทุนของหน่วยธุรกิจขนส่งอาจถูกชดเชยด้วยกำไรจากธุรกิจอื่นในเครือ ซึ่งถือว่าได้เปรียบกว่ามาก

#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #สงครามส่งด่วน #Netflix #FlashExpress


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง