'สงครามส่งด่วน' ทำไมบางรายขาดทุนยับ แต่ยังไปต่อได้ ?
เบื้องหลังความสะดวกสบายที่เราคลิกสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ มีสมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือดของเหล่าบริษัทขนส่งพัสดุอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขายและผู้ซื้อ
เรามักจะได้ยินว่าการขนส่งมีการเติบโตขึ้นทุกปี แต่พอได้ยินข่าวประกาศผลประกอบการกลับพบว่าบริษัทขนส่งในประเทศไทย 'ขาดทุนยับ'
คำถามสำคัญ คือ บริษัทที่ขาดทุนถึงยังไปต่อได้ พวกเขายังมองเห็นอะไรและคาดหวังอะไรถึงยังคงดำเนินธุรกิจต่อ
Stock2morrow จะเล่าให้ฟัง
.

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทขนส่งในไทยมีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก บางบริษัทมีกำไร และบางบริษัทก็ขาดทุนมหาศาล
เช่น J&T Express ที่ขาดทุนถึง 7,093 ล้านบาท หรือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ KEX Express (Kerry Express) ที่ขาดทุน 3,880 ล้านบาท
การขาดทุนหนักขนาดนี้ ถ้าเป็นบริษัททั่วไปคงจะปิดกิจการไปแล้ว แต่เราจะเห็นว่าธุรกิจขนส่งยังไปต่อได้ อาจจะมีการปรับโครงสร้าง ปิดสาขาบางส่วน
แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้บริษัทเหล่านี้ยังคงยอมแบกรับการขาดทุน และพวกเขาเห็นอะไรในอนาคต ?
คำตอบ มีอยู่ 3 เหตุผลหลักด้วยกัน คือ
.
1. การช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด เพิ่ม Economy of Scale เพิ่มอำนาจในการกำหนดราคาสร้างกำไรเติบโตมหาศาลในอนาคต
หัวใจหลักของการยอมขาดทุนคือการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดให้ได้มากที่สุด บริษัทขนส่งเชื่อว่า "ยิ่งใหญ่ ยิ่งได้เปรียบ"
การยอมลดราคาค่าบริการหรือจัดโปรโมชั่นดุเดือดในช่วงแรก แม้จะทำให้รายรับต่อชิ้นลดลงจนไม่คุ้มทุน
แต่เป้าหมายคือการดึงดูดลูกค้าจำนวนมหาศาลให้เข้ามาใช้บริการ เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ให้เร็วที่สุด
เมื่อเครือข่ายขยายตัวจนใหญ่พอ จะเกิด "Economy of Scale" ที่ทำให้ต้นทุนต่อชิ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
และสามารถกลับมาทำกำไรในระยะยาวได้ นี่คือการลงทุนใน "Network Effect" ที่ยิ่งมีผู้ใช้มาก เครือข่ายยิ่งมีมูลค่ามากขึ้นนั่นเอง
.
2. เพิ่มขีดความสามารถ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี
ธุรกิจขนส่งเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก บริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น คลังสินค้าขนาดใหญ่ ศูนย์คัดแยกพัสดุอัตโนมัติ การจัดซื้อรถขนส่งจำนวนมาก รวมถึงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเส้นทาง การคัดแยก การตรวจสอบสถานะพัสดุ และลดความผิดพลาด
การลงทุนเหล่านี้ไม่ใช่แค่การ "ใช้จ่าย" แต่เป็นการ "ลงทุน" เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับปริมาณพัสดุที่เติบโตต่อเนื่องในอนาคต
ซึ่งผลตอบแทนอาจไม่ปรากฏในทันที แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อความยั่งยืน
.
3. เกมระยะยาว เพื่อสร้างกำไร ปูทางเข้าสู่ความเป็น 'มหาชน'
บริษัทขนส่งที่ยอมขาดทุนไม่ได้มองแค่กำไรในแต่ละไตรมาสหรือแต่ละปี แต่พวกเขากำลังเล่น "เกมระยะยาว" ที่เชื่อว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างเครือข่าย และการสร้างฐานลูกค้าที่ใหญ่พอ จะทำให้เกิดจุดคุ้มทุน (Break-even Point) และเริ่มทำกำไรได้อย่างยั่งยืนในที่สุด
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของบริษัทเหล่านี้คือ การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) แม้ในขณะที่ยังขาดทุนอยู่ก็ตาม
การทำ IPO ช่วยให้บริษัทสามารถระดมทุนก้อนใหญ่จากสาธารณะได้ ซึ่งเป็นเงินทุนสำคัญในการขยายกิจการ ลดภาระหนี้สิน และลงทุนในนวัตกรรมต่อไป
นอกจากนี้ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ยังเป็น "ทางออก" (Exit Strategy) ให้กับนักลงทุนรายแรกๆ เช่น VC และ Private Equity ที่เข้ามาลงทุนในบริษัทตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่มีกำไร ทำให้พวกเขาสามารถขายหุ้นและรับผลตอบแทนจากการลงทุนได้เมื่อบริษัทมีมูลค่าสูงขึ้น
.
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลย คือ Amazon(AMZN) บริษัทที่ยอมขาดทุนต่อเนื่องเป็นเวลานานเพื่อสร้างการเติบโตและส่วนแบ่งตลาด
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง Amazon มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าและลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และเทคโนโลยี
แม้จะขาดทุนในหลายปีแรกหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1997 แต่กลยุทธ์นี้ทำให้ Amazon สามารถครองตลาดอีคอมเมิร์ซและขยายไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ เช่น Cloud Computing (AWS) ได้อย่างแข็งแกร่ง
ท้ายที่สุด Amazon ก็สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้อย่างมหาศาล และสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ถือหุ้นที่อดทนรอคอยมานานได้อย่างไม่น่าเชื่อ
.
สรุปแล้ว การขาดทุนของบริษัทขนส่งส่วนใหญ่จึงไม่ใช่สัญญาณของการล้มเหลวเสมอไป แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน "สงคราม" เพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำในตลาดที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าตลาดขนส่งพัสดุมีแนวโน้มที่เติบโต
เพียงแต่การแข่งขันที่ดุเดือน การเน้นไปที่ราคาและการบริการทำให้หลายบริษัทมีผลประกอบการที่ขาดทุน
ทั้งนี้ พวกเขากำลังเดิมพันกับอนาคตที่เชื่อว่าปริมาณพัสดุจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ต้นทุนต่อชิ้นถูกลงมากพอ พลิกกลับมาเป็นกำไรพร้อมกับการครองส่วนแบ่งการตลาดที่มากพอจะกำหนดราคาตลาดได้ในอนาคต
สุดท้าย บริษัทที่ประสบความสำเร็จก็มักจะปูทางเข้าสู่ความเป็น 'มหาชน' สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับนักลงทุนรายแรกๆ
.
แถมท้ายอีกนิด เราอาจจะสงสัยว่าแล้วบริษัทที่ขาดทุน พวกเขายังอยู่ต่อได้อย่างไร ?
คำตอบ คือ การระดมทุนจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง (Equity Funding) ไม่ว่าจะเป็น Venture Capital (VC) และ Private Equity (PE)
บริษัทขนส่งหลายแห่งเริ่มต้นจากการเป็นสตาร์ทอัพ หรือเป็นบริษัทที่ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์
พวกเขาระดมทุนจาก VC หรือ PE ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงสูงเพื่อแลกกับโอกาสในการเติบโตแบบก้าวกระโดด
นักลงทุนเหล่านี้จะอัดฉีดเงินทุนเป็นรอบๆ (Funding Rounds) เพื่อให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนและขยายกิจการ
.
หรืออีกกรณีหนึ่ง คือ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่
หมายความว่า บริษัทขนส่งบางแห่งถูกต่อยอดมาจาก Platform ขายของออนไลน์ ที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ Shopee มีขนส่งชื่อ 'SPX Express' ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Sea Group หรืออย่าง Lazada ก็จะมี 'LEX' บริษัทขนส่งเป็นของตัวเอง ซึ่งมี Alibaba เป็นบริษัทแม่คอยสนับสนุนเงินทุน
การขาดทุนของหน่วยธุรกิจขนส่งอาจถูกชดเชยด้วยกำไรจากธุรกิจอื่นในเครือ ซึ่งถือว่าได้เปรียบกว่ามาก
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #สงครามส่งด่วน #Netflix #FlashExpress