กรณีศึกษาหุ้น Starbucks จากร้านกาแฟยอดฮิต แต่ทำไมราคาหุ้นถึงร่วง?
.
Starbucks คือชื่อที่ใครๆ ก็รู้จัก เป็นมากกว่าร้านกาแฟ แต่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนทั่วโลก
ด้วยสาขาที่แพร่หลายและวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่แข็งแกร่ง แบรนด์นี้ดูเหมือนจะเป็น "หุ้นที่มั่นคง" ที่ไม่มีวันตกต่ำ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา หุ้นของ Starbucks กลับเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ราคาหุ้นลดลงอย่างน่าตกใจถึง 29% นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งต่ำกว่าราคาสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์อย่างมาก
คำถามคือ "เกิดอะไรขึ้นกับร้านกาแฟขวัญใจมหาชนแห่งนี้" ?
Stock2morrow จะเล่าให้ฟัง
.

ส่องเหตุผลปัจจัยที่ฉุดราคาหุ้นร่วง Starbucks
แม้จะเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง แต่ Starbucks ก็ไม่ได้ปราศจากความท้าทายที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการและราคาหุ้น
ซึ่งจากบทวิเคราะห์สามารถสรุปได้เป็น "Bear Case" เป็นข้อๆแบบนี้ครับ (รวบรวมจาก Investing Pro)
1. ความท้าทายในการดำเนินงาน
- ยอดขายในอเมริกาเหนือลดลง: ในไตรมาสที่ผ่านมา ยอดขายในร้านค้าเทียบเคียงกันในอเมริกาเหนือลดลงถึง 6% และจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ (Traffic) ก็ลดลง 10% สะท้อนถึงปัญหาในการดึงดูดและรักษาลูกค้า
- ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น: ต้นทุนค่าแรง, อุปกรณ์, และวัตถุดิบสำคัญอย่างเมล็ดกาแฟที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้เข้ามากดดันอัตรากำไรของบริษัทอย่างหนัก
- การดำเนินการที่อาจล่าช้า: แผนการปรับปรุงการดำเนินงานและลดจำนวนเมนูสินค้า (SKU) ที่ซับซ้อน อาจต้องใช้เวลาเพื่อให้เห็นผล ซึ่งอาจนำไปสู่การกัดเซาะอัตรากำไรในระยะสั้นถึงกลาง
.
2. ปัญหาในตลาดจีน
- ตลาดจีนที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโต กลับมี Same Store Sale Growth ลดลงถึง 14% ซึ่งเป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
และสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทายในจีน
- คู่แข่งท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง: การแข่งขันจากเชนร้านกาแฟท้องถิ่นในจีน เช่น Luckin Coffee ซึ่งมีความเข้าใจในตลาดท้องถิ่นและมีโครงสร้างต้นทุนที่ต่ำกว่า
ได้สร้างแรงกดดันอย่างมากให้กับ Starbucks
.
3. การลงทุนและการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร
- การลงทุนที่เพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีและการปรับปรุงร้านค้า อาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดและการเติบโตของกำไรในระยะสั้น
- แม้การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง เช่น การแต่งตั้ง CEO และ CFO คนใหม่ จะเป็นการปรับกลยุทธ์ แต่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ก็อาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุนได้
.
แผนตอบโต้ของ Starbucks พลิกฟื้นจาก 'Bear' เป็น 'Bull'
แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ Starbucks ก็ไม่ได้นิ่งเฉย บริษัทกำลังดำเนินกลยุทธ์ "Back to Starbucks" เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ ประกอบไปด้วย
1. ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าและการดำเนินงาน: เน้นกลับไปสู่จุดแข็งของการเป็น "Third Place" และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในร้าน
2. ปรับเมนูให้เรียบง่าย: ลดจำนวน SKU ลง 30% เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการและลดความซับซ้อนในการทำงาน
3. ลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล: เสริมสร้างแพลตฟอร์ม Mobile Order & Pay และระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและยอดขาย
4. ขยายร้านค้าขนาดเล็ก: เปิดร้านในรูปแบบที่เล็กลง เพื่อเจาะตลาดใหม่ๆ และเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับบริการเต็มที่
5. ลงทุนในพนักงาน: เพิ่มการฝึกอบรมและสวัสดิการ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการบริการลูกค้าและลดอัตราการลาออกของพนักงาน
.
กรณีของ Starbucks ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่แบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่นิยมระดับโลก ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของตลาดอยู่เสมอ
การลงทุนในหุ้นไม่ได้มองเพียงแค่ "ความนิยม" ของแบรนด์ แต่ต้องพิจารณาถึง
1. ประสิทธิภาพการดำเนินงาน: บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนและสร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
2. การแข่งขันในตลาด: คู่แข่งมีผลกระทบต่อส่วนแบ่งการตลาดและอำนาจในการกำหนดราคาอย่างไร
3. ความสามารถในการปรับตัว: บริษัทมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อตอบรับกับความท้าทายใหม่ๆ ได้หรือไม่
4. อนาคตของตลาดสำคัญ: แนวโน้มเศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาดหลัก (เช่น จีนที่ตอนนี้ยอดขายกำลังตกลงมาก) เป็นอย่างไร
Starbucks กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการปรับตัว ซึ่งการดำเนินกลยุทธ์ที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาหุ้นในอนาคต นักลงทุนจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า "แผนการพลิกฟื้น" นี้จะสามารถนำพา Starbucks กลับมา "เปล่งประกาย" ได้อีกครั้งหรือไม่ ซึ่งยังต้องติดตามกันต่อไปครับ
.
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการให้ข้อมูลและวิเคราะห์เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาชี้ชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #Starbuck #การลงทุน