เจาะงบ AfterYou-MK กำลังบอกเราว่าธุรกิจอาหารน่าเป็นห่วง
.
หลายคนคงเคยได้ยินข่าวคราวเรื่องเศรษฐกิจที่ซบเซา ร้านอาหารทยอยปิดตัวลง แม้แต่ร้านดัง ๆ หรือร้านริมทางก็ประสบปัญหาเช่นกัน ซึ่งหากพิจารณาจากราคาหุ้นของธุรกิจร้านอาหารในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นของ AU และ M
.
Stock2morrow จะสรุปผลประกอบการล่าสุดของทั้งสองบริษัทให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้ครับ

.AU : บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน)
ในรอบนี้ After You มีกำไรสุทธิ 65.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 54.1 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งหากดูเผิน ๆ เหมือนผลประกอบการจะดีขึ้น แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว กลับน่าผิดหวัง
อัตรากำไรขั้นต้นลดลง โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) เหลือเพียง 15.5% จากเดิมที่เคยอยู่ในระดับประมาณ 20% นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ยังเพิ่มขึ้นถึง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามองในผลประกอบการรอบนี้
1. รายได้จากสาขาเดิม (Same Store Sale Growth) ลดลงถึง -9%
2. มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการตั้งสำรองหนี้สูญ 7 ล้านบาท ซึ่งบทวิเคราะห์หลายแห่งระบุว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการยกเลิกกิจการแฟรนไชส์ในฮ่องกง
3. หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษดังกล่าว กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 72 ล้านบาท เติบโต +33% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ลดลง -16% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งยังคงต่ำกว่าประมาณการณ์ของนักวิเคราะห์หลายสำนัก
4. สิ่งที่น่าสนใจคือ ธุรกิจที่ไม่ใช่ร้านคาเฟ่ เช่น การผลิตสินค้าใหม่ขายในเซเว่นอีเลฟเว่น หรือการให้บริการขนมบนเครื่องบินของการบินไทย เติบโตถึง 30% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าจับตาอย่างยิ่ง และอาจเข้ามาช่วยลดแรงกดดันจากธุรกิจร้านอาหารได้บ้าง
5. After You มีแผนที่จะขยายธุรกิจในต่างประเทศ เช่น การขยายแฟรนไชส์ในอินโดนีเซียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงการนำสินค้าไปจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายในมาเลเซียและเวียดนาม ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าจะสามารถสร้างผลลัพธ์ได้มากน้อยเพียงใด เพราะการทำธุรกิจในต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
.
ต้องยอมรับว่าราคาหุ้นของ AU ในช่วงต้นปีนี้ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงถึง -22% สาเหตุหลักมาจากประเด็นเรื่องการชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวไทย และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหาร
หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ในช่วงที่เหลือของปี ก็ต้องมาติดตามกันว่าราคาหุ้นของ AU จะปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 7 บาท ทำจุดต่ำสุดใหม่ได้อีกหรือไม่
.
M : บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ผลประกอบการของ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M ในครั้งนี้ น่าผิดหวังอย่างยิ่ง
และปรากฏสัญญาณเชิงลบในหลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็นกำไรที่ลดลงตามยอดขายต่อสาขาที่หดตัว ความสามารถในการทำกำไรที่ถดถอย การปิดสาขา ต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโดยรวม
.
เรามาพิจารณาสาระสำคัญของผลประกอบการ M ในรอบนี้ เพื่อให้นักลงทุนได้ทราบถึงประเด็นสำคัญที่ควรจับตามองกันไปทีละข้อ
1. ยอดขายรวม ทำได้ 3.5 พันล้านบาท ซึ่งลดลง -4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และ -10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) นับเป็นการหดตัวของยอดขายต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6
.
2. กำไรสุทธิ อยู่ที่ 234 ล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง -34% QoQ และ -33% YoY
การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sale Growth): ติดลบประมาณ -10.5%
โดยบริษัทให้เหตุผลว่าเป็นผลมาจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ควบคู่ไปกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัว
.
3. อัตรากำไรขั้นต้น ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 66.5% จากเดิมที่เคยอยู่ในช่วง 67%-68%
สาเหตุหลักมาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่งผลให้ อัตรากำไรสุทธิในบรรทัดสุดท้ายลดลงเหลือเพียง 6.6% จากระดับ 9%-10% ในช่วงก่อนหน้า
.
4. การปิดสาขา มีการปิดสาขาลงทั้งสิ้น 5 สาขา โดยแบ่งเป็น
- MK: ปิด 2 สาขา
- Yayoi: ปิด 2 สาขา
- แหลมเจริญซีฟู้ด: ปิด 1 สาขา
- ส่งผลให้จำนวนสาขาทั้งหมดในเครือ M คงเหลือ 688 สาขา
.
5. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ทรงตัวในขณะที่รายได้ลดลงอย่างมาก
ส่งผลให้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย: ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 60.6% จากเดิมที่ 58.9%
.
คำถามสำคัญที่เกิดขึ้น คือ "เอ็มเค" จะมีแนวทางการปรับตัวอย่างไร
และปัจจุบันตลาดกำลังให้ความสนใจกับประเด็นใด?
คำตอบคือตลาดกำลังคาดหวังถึงการฟื้นตัวของผลประกอบการอย่างชัดเจน
ซึ่งอาจมาจากการเปิดสาขาใหม่ การนำเสนอแบรนด์ใหม่ และการเติบโตของกำไรที่คาดว่าจะดีขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการแหลมเจริญซีฟู้ด
.
สำหรับปี 2568 บริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมจำนวน 16 สาขา โดยแบ่งเป็น MK สุกี้ 5 สาขา, Yayoi 3 สาขา, แหลมเจริญซีฟู้ดอีก 5 สาขา และร้านอาหารแบรนด์ใหม่อีก 3 สาขา
อย่างไรก็ตาม บริษัทก็มีแผนที่จะปิดสาขาที่ไม่ทำกำไรจำนวน 14 สาขาเช่นกัน
ทำให้โดยรวมแล้วในปีนี้จะมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเพียง 2 สาขาเท่านั้น
ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการผลักดันให้รายได้กลับมาเติบโตได้
อีกทั้งภาพรวมของอุตสาหกรรมร้านอาหารในปีนี้ยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากกำลังซื้อที่คาดว่าจะยังคงชะลอตัว
ซึ่งอาจส่งผลให้ยอดขายต่อสาขายังคงมีแนวโน้มลดลง
.
ในปัจจุบัน ราคาหุ้นของ M ได้ปรับตัวลดลงไปแล้วกว่า -52% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
ส่งผลให้ค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 11.3 เท่า
และอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 1.1 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี
.
ต้องยอมรับว่าราคาหุ้น M ร่วงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 แล้ว จากผลประกอบการที่ไม่ได้เติบโตเลย
ในขณะที่ใช้งบลงทุนไปเยอะ ปรับแผนธุรกิจใหม่ เทคโอเวอร์ร้านอาหาร แต่งบก็ไม่กลับมาสักที
ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงจาก 60 บาท เหลือ 20 บาทอย่างในปัจจุบัน
แต่ถ้าเราคิดในอีกมุมหนึ่ง Valuation แถวๆนี้ก็ไม่แพงมากเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา P/E 11 เท่า P/BV 1.2 เท่า
จากเมื่อก่อน P/E 30 เท่า และ P/BV 4 เท่ากว่าๆ ก็ต้องถือว่าลดลงมาเยอะ แถมปันผลตอนนี้ก็อยู่ในระดับ 8% แล้ว
ถ้ากำไรยังเท่าเดิม จ่ายปันผลเท่าเดิม การได้อัตรา 8% ก็ถือว่าน่าสนใจอยู่เหมือนกัน
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #SET #AfterYou #MK