#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน
#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน
#แนวคิดด้านการลงทุน
#มือใหม่เริ่มลงทุน
#วางแผนการเงิน

หุ้น SCC พุ่ง 30% ใน 1 เดือน  สัญญาณกลับตัว หรือแค่แรงเก็งกำไร?

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
355 views

หุ้น SCC พุ่ง 30% ใน 1 เดือน  สัญญาณกลับตัว หรือแค่แรงเก็งกำไร?

.

หลายคนเคยปรามาสว่าหุ้น SCC เสน่ห์จาง เป็นตัวแทนธุรกิจยุคเก่าที่เติบโตยากเย็น 

เห็นได้จากราคาหุ้นที่ดิ่งเหวจาก 460 บาทในปี 2564 ลงมาต่ำกว่า 130 บาท จนน่าใจหายว่าอาจหลุด 100 บาท หากผลงานยังไม่ฟื้น 

แต่ทว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลับดีดตัวขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ เกือบ 30% เกิดอะไรขึ้นกับ SCC ? 

นี่คือสัญญาณการกลับตัวครั้งใหม่ หรือเป็นเพียงแรงเก็งกำไรระยะสั้น ? 

วันนี้ Stock2morrow จะมาเล่าให้ฟัง

.

 

หตุผลสำคัญที่ฉุดให้หุ้น SCC ร่วงจาก 400 บาทกว่า ลงมาสู่ระดับ 130 บาท มีปัจจัยหลักสองประการ

1. วิกฤตการณ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี: ธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของ SCC กำลังเผชิญภาวะตกต่ำอย่างหนัก ราคาสเปรดปิโตรเคมีปรับตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งไม่ใช่เพียง SCC เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ หากพิจารณาหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันทั่วโลก จะพบว่าราคาหุ้นต่างก็ทรุดตัวลงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น Dow Inc. ผู้ผลิตวัสดุและปิโตรเคมีชั้นนำของสหรัฐฯ ราคาหุ้นดิ่งลงถึง 50% ในรอบปี หรือแม้แต่ LG Chem บริษัทเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ราคาหุ้นก็ลดลงถึง 48% ในช่วงเวลาเดียวกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีในตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็น PTTGC, IRPC, TOP หรือแม้แต่ SCC ต่างก็เผชิญกับการปรับตัวลงอย่างรุนแรง

.

2. กำไรสุทธิที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง: ผลกำไรสุทธิของ SCC ปรับตัวลดลงอย่างน่าตกใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา:

ปี 2564กำไรสุทธิ 47.17 พันล้านบาท

ปี 2565 กำไรสุทธิ 21.38 พันล้านบาท

ปี 2566 กำไรสุทธิ 25.91 พันล้านบาท

ปี 2567 กำไรสุทธิลดเหลือเพียง 6.3 พันล้านบาท

ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ซบเซาลงอย่างมาก

.

ทว่า ผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 1 ปี 2568 กลับฉายภาพแนวโน้มที่สดใสขึ้นอย่างมากสำหรับ SCC ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าตลาดเคยมองข้ามศักยภาพการฟื้นตัวของบริษัทไป 

ผลประกอบการล่าสุดทำกำไรได้ถึง 1.09 พันล้านบาท แม้จะลดลง 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ที่น่าจับตาคือการพลิกกลับจากผลขาดทุนถึง 512 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้อย่างมาก

ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานในกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงธุรกิจ Packaging ที่กลับมาสร้างกำไรได้อีกครั้ง 

นอกจากนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการปรับกลยุทธ์ใหม่ยังส่งผลให้ต้นทุนและค่าใช้จ่าย SG&A ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจปิโตรเคมียังคงเผชิญภาวะขาดทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากต้นทุนคงที่ของโรงงาน LSP ในเวียดนาม

.

เมื่อเจาะลึกผลประกอบการรายกลุ่มธุรกิจ จะพบภาพที่น่าสนใจ

1. ธุรกิจปิโตรเคมี: ยังคงเผชิญภาวะขาดทุนที่ 2.94 พันล้านบาท (แม้จะขาดทุนลดลงจาก 3.4 พันล้านบาทก่อนหน้า) ราคาสเปรดปิโตรเคมียังทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยปริมาณขายมีทั้งสินค้าที่เพิ่มขึ้นและลดลง แต่สิ่งที่น่ากังวลคืออัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงมาอยู่ที่ 3.8% จากเดิม 5.5% ประกอบกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากโรงงาน LSP ในเวียดนาม

.

2. ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง: กลับมาสร้างกำไรได้อย่างโดดเด่นที่ 2.41 พันล้านบาท การผลักดันยอดขายสินค้ากลุ่ม Green และ Smart Living ส่งผลให้อัตรากำไรปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับการปรับลดค่าใช้จ่ายและการควบคุมต้นทุน ทำให้ผลประกอบการกลุ่มนี้เติบโตถึง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) และพลิกจากผลขาดทุน 67 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2567 มาเป็นกำไรได้อย่างน่าชื่นชม ที่น่าสนใจคือ ปริมาณขายซีเมนต์ในเวียดนามและกัมพูชาปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางราคาปูนที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 400 บาทต่อตัน

.

3. ธุรกิจ Packaging: ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ทำกำไรได้ 900 ล้านบาท พลิกจากผลขาดทุน 57 ล้านบาทก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของยอดขายในกลุ่มประเทศอาเซียน ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง รวมถึงการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) และการรีไซเคิลที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ Fajar ในอินโดนีเซียยังคงขาดทุนและมีแนวโน้มขาดทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจาก SCC ถือหุ้นในสัดส่วนที่มากขึ้น

.

โดยภาพรวมแล้ว SCC แสดงให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างและ Packaging ที่กลับมาสร้างกำไรได้ แต่ธุรกิจปิโตรเคมียังคงเป็นโจทย์ที่ท้าทาย

.

คำถามสำคัญคือ แล้วแนวโน้มในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาส 2 จะเป็นอย่างไร? หากพิจารณาจากบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ จะพบว่ามีมุมมองไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ SCC น่าจะสามารถประคองตัวผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ ด้วยกลยุทธ์การปรับตัวที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การควบคุมค่าใช้จ่าย การลงทุนในโครงการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอัตรากำไร รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อลดภาระดอกเบี้ย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ SCC แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์ยังคงกังวลคือ ภาระค่าใช้จ่ายที่ยังคงสูงของโรงงาน LSP ในเวียดนาม ท่ามกลางสภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ยังไม่สดใส

.

ทั้งนี้ ผลประกอบการที่ดีขึ้นในไตรมาส 1 อาจเป็นผลจากการที่นักลงทุนเคยมอง SCC ในแง่ลบมากเกินไป ทำให้เมื่อผลประกอบการไม่ได้แย่อย่างที่คาดการณ์ไว้ ราคาหุ้นจึงปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้ง ราคาหุ้น SCC ในปัจจุบันยังถือว่าไม่แพงนักเมื่อเทียบกับอดีต โดยมีค่า P/BV อยู่ที่ 0.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี และยังคงจ่ายเงินปันผลได้ราว 3% ซึ่งถือว่าน่าพอใจในช่วงที่อุตสาหกรรมตกต่ำ

.

อย่างไรก็ตาม สัญญาณระยะยาวที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และความสำเร็จในการปรับโครงสร้างองค์กรของ SCC ให้เข้าสู่ยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้เทียบเท่าผู้ผลิตระดับโลก การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ และการขยายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุม โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่ม High Value Added

#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #SET #SCC #ปูนซีเมนต์ไทย

 


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง