ย้อนรอยหุ้น KEX: จากดาวรุ่งสู่ดิ่งเหว ราคาหุ้นร่วง 98% เพราะอะไร?
.
เมื่อไม่นานมานี้ KEX มีข่าวแจ้งทางตลาดหลักทรัพย์ว่า เตรียมเพิกถอนจาการเป็นบจ. ตามเจตนาของ "SFTH" ผู้ถือหุ้นใหญ่
พร้อมทำเทนเดอร์ฯ หุ้นที่เหลือ 651 ล้านหุ้น ในราคาเสนอซื้อหุ้นที่ 1.50 บาทต่อหุ้น นัดประชุมผู้ถือหุ้น 20 มิ.ย. นี้
โดย KEX ให้เหตุผลในการเพิกถอนครั้งนี้ว่า ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่กระทบต่อลูกค้าและคู่ค้า KEX จะยังคงให้บริการในทุกด้านตามปกติ
และกลุ่ม SFTH ชี้แจงว่า ปัจจุบันบริษัทกำลังเผชิญกับสภาวะตลาดและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทายอย่างมาก ทั้งการขาดทุนสุทธิอย่างต่อเนื่อง ปัญหาด้านสภาพคล่อง การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการจัดส่งพัสดุด่วน
ส่งผลให้ KEX มีผลขาดทุนติดต่อกันมาแล้วถึง 13 ไตรมาส
.

ถือเป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจในตลาดหุ้น และควรจะถูกกล่าวถึงไปอีกนานจากที่ ครั้งหนึ่งอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการขนส่งเคยเป็นธุรกิจเนื้อหอม ที่นักลงทุนต่างจับจ้อง ด้วยแรงหนุนจากการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งจึงพลอยได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย
ส่งผลให้หุ้น KEX เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นไทยใหม่ๆได้รับการตอบรับอย่างดี แต่ทว่าเหตุใด ราคาหุ้นของ KEX กลับทรุดตัวลงกว่า 98% เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทนี้?
วันนี้ Stock2morrow จะพาไปเจาะลึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น
.
Kerry Express (Thailand) ถือกำเนิดขึ้นในปี 2549 ภายใต้ร่มเงาของ Kerry Logistics Network ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำของเอเชีย โดยมีฐานธุรกิจมั่นคงอยู่ที่ฮ่องกง และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKG: 0636) ในช่วงเริ่มต้น KEX มุ่งเน้นการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สร้างชื่อจากความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือ ต่อมาได้ขยายขอบเขตการให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศไทย พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน อาทิ ระบบติดตามพัสดุออนไลน์ และเครือข่ายคลังสินค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อมอบบริการจัดส่งที่รวดเร็วในราคาที่เข้าถึงได้ นอกจากนี้ ยังพยายามขยายบริการให้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) บริการจัดส่งพัสดุขนาดใหญ่ และบริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ
.
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจใน KEX มากขึ้น คือ การผนึกกำลังกับกลุ่ม BTS ก่อตั้ง RABBIT-Line Pay ในปี 2559 ซึ่งถือเป็นผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุรายแรกที่นำเสนอบริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนที่จะพัฒนาระบบจัดการพัสดุแบบครบวงจร EasyShip เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า C2C และผู้ขายออนไลน์ ต่อมาในปี 2561 VGI Public Company Limited (VGI) ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ โดยเข้าซื้อหุ้น 23% จากผู้ถือหุ้นเดิม
.
ธุรกิจของ "เคอรี่" เติบโตอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ภายใต้ชื่อย่อ "KEX" ด้วยราคา IPO ที่ 28.00 บาทต่อหุ้น บริษัทได้ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการระดมทุนเพื่อนำไปขยายธุรกิจ พัฒนาเทคโนโลยี และเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน หุ้น KEX ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน โดยราคาเปิดตลาดพุ่งสูงถึง 65 บาท ก่อนจะไต่ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 73 บาท แม้ตลาดจะมองว่าราคาหุ้น KEX ในขณะนั้นอาจเกินปัจจัยพื้นฐานและสะท้อนความคาดหวังในอนาคตไปมาก แต่จุดเด่นที่น่าสนใจคือ ความแข็งแกร่งของแบรนด์ KEX และความได้เปรียบทางการแข่งขันจากจำนวนจุดให้บริการที่ครอบคลุมทุกจังหวัด ทำให้สามารถจัดส่งสินค้าได้ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่า ระดับราคาสูงสุดที่ 73 บาทนั้น จะกลายเป็นจุดสูงสุดตลอดกาลที่ไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย
.
หลังจากนั้น ราคาหุ้นของ KEX ก็ค่อยๆ ร่วงโรย พร้อมกับผลประกอบการที่ทรุดตัวลง
ปี 2563: กำไรสุทธิ 1.40 พันล้านบาท
ปี 2564: กำไรสุทธิ 47 ล้านบาท
ปี 2565: ขาดทุนสุทธิ 2.82 พันล้านบาท (พลิกเป็นขาดทุนครั้งแรก)
ปี 2566: ขาดทุนสุทธิ 3.88 พันล้านบาท
ปี 2567: ขาดทุนสุทธิ 5.91 พันล้านบาท
ขณะที่ราคาหุ้นในปี 2564 อยู่ที่ 30 บาท ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1.69 บาท ในปี 2567 ซึ่งบริษัทมักจะอธิบายถึงสาเหตุของผลประกอบการที่ลดลงว่า
1. การเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามราคา
ปริมาณการขนส่งสินค้าที่ลดลง เนื่องจากคู่แข่งหลายรายพัฒนาบริษัทขนส่งสินค้าเป็นของตนเองมากขึ้น
2. ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรต่อชิ้นลดลง
3. ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการขนส่งสินค้า
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ในปี 2565 ที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งของ KEX เพิ่มขึ้นอย่างมาก และนำไปสู่ผลขาดทุนครั้งใหญ่ถึง 2.82 พันล้านบาท
.
สถานการณ์ของ KEX เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทเผชิญกับภาวะขาดทุนสะสม สิ่งที่นักลงทุนคาดการณ์คือ KEX อาจต้องเผชิญกับปัญหาการเพิ่มทุน แต่ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ใครเล่าจะยินดีเพิ่มทุน?
.
จนกระทั่งในปี 2567 SF Holding ได้เข้ามาทำ Tender Offer หรือการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ KEX เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 ในราคา 3.20 บาทต่อหุ้น และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 81.43% พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
.
SF Holding คือใคร?
SF Holding คือ บริษัทผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรรายใหญ่ของจีน มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเซินเจิ้น และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange: 002352.SZ) และมี Secondary Listing ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: 6936.HK) โดยบริษัทได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Kerry Logistics Network ในปี 2564 ทำให้ SF Holding มีเครือข่ายและขีดความสามารถในการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญใน Kerry Express (Thailand) หรือ KEX ในที่สุด
.
อย่างไรก็ตาม แม้ KEX จะได้กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ที่มีความแข็งแกร่ง และเล็งเห็นศักยภาพของ KEX ในประเทศไทย แต่ด้วยสภาวะตลาดหุ้นไทยที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ราคาหุ้นของ KEX ยังคงไหลลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1.16 บาทต่อหุ้นในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีก เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาในตลาด จึงถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ยังคงเผชิญกับความท้าทายอีกมากมาย ทั้งสภาวะตลาดหุ้นไทยที่ซบเซา อุตสาหกรรมการขนส่งที่มีการแข่งขันสูง และผลประกอบการของ KEX ที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
.
แถมท้าย: บทวิเคราะห์หลายแห่งมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่า หุ้น KEX ยังไม่มีปัจจัยเชิงบวกใหม่ๆ และคาดการณ์ว่าปี 2568 น่าจะยังคงประสบภาวะขาดทุน แม้ว่าอาจจะไม่รุนแรงเท่าปี 2567 ที่ขาดทุนหนักถึง 5.91 พันล้านบาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังมีความเสี่ยงในเรื่องของฐานะส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity base) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากการขาดทุนสะสมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการเพิ่มทุนอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #SET #KEX #หุ้นไทย