ส่องหุ้นกลุ่ม Healthcare
โอกาสของนักลงทุนที่ชื่นชอบ "หุ้นยา" และ Healthcare Service
.
.
นอกจากหุ้นกลุ่ม "7 นางฟ้า" แล้ว
หุ้นอีกกลุ่มที่ได้รับความนิยมมากสำหรับนักลงทุนคนไทย คือ หุ้นกลุ่มยา และ Healthcare
โดยเฉพาะประเทศที่มีนวัตกรรมทางการแพทย์ระดับสูงในอเมริกาแล้ว ทำให้มีความน่าดึงดูดที่จะเข้าไปลงทุน
แต่เนื่องจากว่าหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นไปมาก Valuation ค่อนข้างแพง และราคาหุ้นที่แข็งกว่าตลาด ทำให้หาโอกาสที่เหมาะสมในการลงทุนเป็นไปด้วยความยาก
ส่งผลให้ความนิยมในหุ้นกลุ่มนี้อาจจะไม่เท่ากับหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้าสักเท่าไร
.
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องการขึ้นภาษีตอบโต้ของโดนัลด์ ทรัมป์
ทำให้หุ้นกลุ่ม Healthcare ปรับตัวลงมามาก
- Novo Nordisk ราคาหุ้นปรับตัวลงมากว่า -52% ในรอบ 1 ปี
- Merck & Co Inc ราคาหุ้นปรับตัวลงมากว่า -37% ในรอบ 1 ปี
- Pfizer Inc ราคาหุ้นปรับตัวลงมากว่า -16% ในรอบ 1 ปี
ในขณะที่หุ้นบางกลุ่มปรับตัวลงมาไม่มาก เช่น
- Eli Lilly And Co ราคาหุ้นปรับตัว -3%
- Novartis AG ราคาหุ้นปรับตัว -1%
- AbbVie Inc ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +9%
.
คำถามคือ นโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์ เกี่ยวอะไรกับหุ้นยา ?
ถ้าให้ตอบแบบสั้นๆ คือ ธุรกิจยา และหุ้นกลุ่มประเภท Healthcare Service มีสัดส่วนรายได้จาก US Domestic ทำให้ผลกระทบจากภาษีนำเข้าดูจำกัดกว่ากลุ่มอื่น
ถ้าให้อธิบายแบบยาวๆ มี 3 ประเด็นที่นักลงทุนต้องสนใจ คือ
1. Trump เผยในวันอังคารที่ 8 เม.ย. ว่าเตรียมประกาศภาษีศุลกากรครั้งใหญ่สำหรับยาในเร็วๆ นี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับภาษีที่วางแผนไว้
นอกจากนี้เผยว่าหากมีการเก็บภาษียา หลายประเทศจะหันมาเจรจากับสหรัฐฯเนื่องจากสหรัฐฯเป็นตลาดใหญ่
และ ยาเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีจาก Reciprocal Tariff
.
2. ด้านบริษัทยาขนาดใหญ่กำลังล็อบบี้กับสหรัฐฯเพื่อขอให้มีการทยอยปรับขึ้นภาษีนำเข้าแทนการปรับทันที เพื่อให้มีเวลาในการปรับเปลี่ยนการผลิต
.
3. รัฐบาลทรัมป์ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบใน Medicare Advantage โดยมี 2 ประเด็นสำคัญ
- เพิ่มการจ่ายเงินให้ Medicare Advantage
รัฐบาลสหรัฐฯ จะจ่ายเงินให้กับแผน Medicare เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 5.06% อยู่ที่อย่างน้อย 25 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของอัตราที่รัฐบาลเดิมเสนอไว้ในเดือนม.ค. โดยภาพนี้จะทำให้กลุ่ม Healthcare Insurance อย่าง UNH CVS Humana ได้ประโยชน์หลังจะช่วยเยียวยาแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น
- ปรับแผน Medicare ให้ไม่ครอบคลุมกลุ่มยาลดความอ้วน
โดยไม่ครอบคลุมกรณีการใช้เพื่อลดน้ำหนักโดยตรง แต่ยังครอบคลุมยาที่ใช้ในโรคเบาหวานหรือปัญหาหัวใจ หลังหากครอบคลุมยาลดน้ำหนัก จะทำให้สหรัฐฯมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใน 9 ปี
.
ซึ่งถ้าเราไปดูหุ้นประเภท Healthcare Service จะพบว่าราคาแทบไม่ปรับตัวลงเลย เช่น
HCA Healthcare Inc ราคาหุ้น -0.4% ภายใน 1 ปี
UnitedHealth Group Inc ราคาหุ้น +35% ภายใน 1 ปี
CVS Health Corp ราคาหุ้น +2% ภายใน 1 ปี
หรือพูดง่ายๆ คือ หุ้นกลุ่มยาและ Healthcare Service แทบจะไม่ได้รับผลกระทบเลย ในภาพระยะสั้น
.
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์หลายแห่งจากวอลสตรีท มองว่า กลุ่มผู้ผลิตยา ยังคงมีความเสี่ยงการถูกเก็บภาษี
แต่ไม่สามารถประเมินผลกระทบได้แน่ชัดเนื่องจากความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานและข้อตกลงด้านราคาการนำเข้า
นอกจากนี้ ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับ FDA และผลกระทบต่อกระบวนการอนุมัติยายังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลในกลุ่มผู้ผลิตยาเช่นกัน
นักวิเคราะห์ มองว่า การขึ้นภาษีนี้จะทำให้เกิดการขาดแคลนยาและลดการเข้าถึงยาของผู้ป่วยได้ เนื่องจาก
1. การย้ายฐานการผลิตยามายังสหรัฐฯ ใช้เวลา 5-10 ปี และเงินลงทุนราว 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ
2. หรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยาที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการนำเข้ามากกว่า 176 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023
.
.
== กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มยา ==
1. ประเทศยุโรปที่ส่งออกยาเข้าอเมริกา จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เช่น บริษัทยาที่มีฐานอยู่ใน เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย และจีน
ได้รับผลกระทบจากภาพนี้หลังเป็นประเทศที่ส่งออกยามายังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก
2. โดยเฉพาะบริษัทผลิตยาในกลุ่มยุโรป มีความเสี่ยงมาก หากพิจารณาสัดส่วนรายได้ของบริษัทยาในยุโรปจะพบว่ามีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐมากกว่า 25% ของรายได้รวม
เช่น Nordisk, GSK, Sanofi และ Roche มีรายได้จากตลาดสหรัฐมากกว่า 49% ของรายได้รวม
3. บริษัทยาในอเมริกา จะได้รับผลบวกในระยะสั้น แต่เป็นความเสี่ยงในระยะยาว
โดยบริษัทยาที่เป็นสัญชาติอมเริกา และมียอดขายสูงสุด เช่น AbbVie (72%) Bristol Myers (71%) Eli Lilly (67%)
ซึ่งบริษัทผลิตยา Bristol-Myers Squibb, Pfizer และ Sanofi อาจเผชิญกับผลกระทบต่อกำไรที่มากกว่า
ในขณะที่ ผู้ผลิตวัคซีนจะได้รับผลกระทบมากกว่าเพราะฐานการผลิตส่วนใหญ่อยู่นอกสหรัฐ
โดยสรุปแล้วในระยะสั้น กลุ่มผู้ผลิตยายังมีความเสี่ยงหลังทรัมป์เตรียมประกาศมาตรการภาษีที่เกี่ยวข้องกับยาเร็วๆนี้ ทำให้ในภาพรวมเรายังแนะระมัดระวังกลุ่ม Pharma และแนะมองกลุ่ม Healthcare Service ที่มีสัดส่วนรายได้ภายใน US Domestic ซึ่งทำให้ผลกระทบจากภาษีนำเข้าดูจำกัดกว่ากลุ่มอื่น
.
แถมท้ายข้อมูลอีกนิด ปัจจุบันนักลงทุนหุ้นไทย สามารถซื้อ DR ที่ลงทุนในธุรกิจ Healthcare ระดับโลกได้แล้ว
โดยมีกลุ่มที่น่าสนใจ คือ
1. Novo Nordisk A/S จากตลาด Nasdaq Copenhagen รหัส NOVOB80
บริษัทเภสัชกรรมจากประเทศเดนมาร์ก เชี่ยวชาญในการพัฒนาและผลิตยาสำหรับการรักษาโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอินซูลิน และปากกาลดน้ำหนัก
มีชื่อเสียงในด้านการวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์
.
2. Sanofi SA จากตลาด Euronext Paris รหัส SANOFI80
บริษัทเภสัชกรรมจากประเทศฝรั่งเศส บริษัทชั้นนำในวงการเภสัชกรรมระดับโลกมีความเชี่ยวชาญในการวิจัย พัฒนาและจำหน่ายยารักษาโรคต่างๆ
รวมทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ
.
3. Eli Lilly and Company จากตลาด NYSE รหัส LLY80X
บริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนายาและนวัตกรรมทางการแพทย์ และยังเป็นบริษัทยารายแรกของโลกที่ผลิตอินซูลินในการรักษาโรคเบาหวาน