#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน
#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน
#แนวคิดด้านการลงทุน
#มือใหม่เริ่มลงทุน

ส่องหุ้นกลุ่ม Healthcare

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
373 views

ส่องหุ้นกลุ่ม Healthcare 

โอกาสของนักลงทุนที่ชื่นชอบ "หุ้นยา" และ Healthcare Service

.

.

นอกจากหุ้นกลุ่ม "7 นางฟ้า" แล้ว 

หุ้นอีกกลุ่มที่ได้รับความนิยมมากสำหรับนักลงทุนคนไทย คือ หุ้นกลุ่มยา และ Healthcare

โดยเฉพาะประเทศที่มีนวัตกรรมทางการแพทย์ระดับสูงในอเมริกาแล้ว ทำให้มีความน่าดึงดูดที่จะเข้าไปลงทุน

แต่เนื่องจากว่าหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นไปมาก Valuation ค่อนข้างแพง และราคาหุ้นที่แข็งกว่าตลาด ทำให้หาโอกาสที่เหมาะสมในการลงทุนเป็นไปด้วยความยาก

ส่งผลให้ความนิยมในหุ้นกลุ่มนี้อาจจะไม่เท่ากับหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้าสักเท่าไร

.

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องการขึ้นภาษีตอบโต้ของโดนัลด์ ทรัมป์ 

ทำให้หุ้นกลุ่ม Healthcare ปรับตัวลงมามาก

- Novo Nordisk ราคาหุ้นปรับตัวลงมากว่า -52% ในรอบ 1 ปี

- Merck & Co Inc ราคาหุ้นปรับตัวลงมากว่า -37% ในรอบ 1 ปี

- Pfizer Inc ราคาหุ้นปรับตัวลงมากว่า -16% ในรอบ 1 ปี

ในขณะที่หุ้นบางกลุ่มปรับตัวลงมาไม่มาก เช่น 

- Eli Lilly And Co ราคาหุ้นปรับตัว -3%

- Novartis AG ราคาหุ้นปรับตัว -1% 

- AbbVie Inc ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +9%

.

คำถามคือ นโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์ เกี่ยวอะไรกับหุ้นยา ? 

ถ้าให้ตอบแบบสั้นๆ คือ ธุรกิจยา และหุ้นกลุ่มประเภท Healthcare Service มีสัดส่วนรายได้จาก US Domestic ทำให้ผลกระทบจากภาษีนำเข้าดูจำกัดกว่ากลุ่มอื่น

ถ้าให้อธิบายแบบยาวๆ มี 3 ประเด็นที่นักลงทุนต้องสนใจ คือ 

1. Trump เผยในวันอังคารที่ 8 เม.ย. ว่าเตรียมประกาศภาษีศุลกากรครั้งใหญ่สำหรับยาในเร็วๆ นี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับภาษีที่วางแผนไว้ 

นอกจากนี้เผยว่าหากมีการเก็บภาษียา หลายประเทศจะหันมาเจรจากับสหรัฐฯเนื่องจากสหรัฐฯเป็นตลาดใหญ่ 

และ ยาเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีจาก Reciprocal Tariff

.

2. ด้านบริษัทยาขนาดใหญ่กำลังล็อบบี้กับสหรัฐฯเพื่อขอให้มีการทยอยปรับขึ้นภาษีนำเข้าแทนการปรับทันที เพื่อให้มีเวลาในการปรับเปลี่ยนการผลิต

.

3. รัฐบาลทรัมป์ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบใน Medicare Advantage โดยมี 2 ประเด็นสำคัญ

- เพิ่มการจ่ายเงินให้ Medicare Advantage

รัฐบาลสหรัฐฯ จะจ่ายเงินให้กับแผน Medicare เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 5.06% อยู่ที่อย่างน้อย 25 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของอัตราที่รัฐบาลเดิมเสนอไว้ในเดือนม.ค. โดยภาพนี้จะทำให้กลุ่ม Healthcare Insurance อย่าง UNH CVS Humana ได้ประโยชน์หลังจะช่วยเยียวยาแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น

- ปรับแผน Medicare ให้ไม่ครอบคลุมกลุ่มยาลดความอ้วน

โดยไม่ครอบคลุมกรณีการใช้เพื่อลดน้ำหนักโดยตรง แต่ยังครอบคลุมยาที่ใช้ในโรคเบาหวานหรือปัญหาหัวใจ หลังหากครอบคลุมยาลดน้ำหนัก จะทำให้สหรัฐฯมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใน 9 ปี

.

ซึ่งถ้าเราไปดูหุ้นประเภท Healthcare Service จะพบว่าราคาแทบไม่ปรับตัวลงเลย เช่น 

HCA Healthcare Inc ราคาหุ้น -0.4% ภายใน 1 ปี

UnitedHealth Group Inc ราคาหุ้น +35% ภายใน 1 ปี 

CVS Health Corp ราคาหุ้น +2% ภายใน 1 ปี 

หรือพูดง่ายๆ คือ หุ้นกลุ่มยาและ Healthcare Service แทบจะไม่ได้รับผลกระทบเลย ในภาพระยะสั้น

.

อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์หลายแห่งจากวอลสตรีท มองว่า กลุ่มผู้ผลิตยา ยังคงมีความเสี่ยงการถูกเก็บภาษี 

แต่ไม่สามารถประเมินผลกระทบได้แน่ชัดเนื่องจากความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานและข้อตกลงด้านราคาการนำเข้า

นอกจากนี้ ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับ FDA และผลกระทบต่อกระบวนการอนุมัติยายังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลในกลุ่มผู้ผลิตยาเช่นกัน

นักวิเคราะห์ มองว่า การขึ้นภาษีนี้จะทำให้เกิดการขาดแคลนยาและลดการเข้าถึงยาของผู้ป่วยได้ เนื่องจาก

1. การย้ายฐานการผลิตยามายังสหรัฐฯ ใช้เวลา 5-10 ปี และเงินลงทุนราว 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ

2. หรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยาที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการนำเข้ามากกว่า 176 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023

.

.

== กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มยา ==

1. ประเทศยุโรปที่ส่งออกยาเข้าอเมริกา จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เช่น บริษัทยาที่มีฐานอยู่ใน เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย และจีน

ได้รับผลกระทบจากภาพนี้หลังเป็นประเทศที่ส่งออกยามายังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก

2. โดยเฉพาะบริษัทผลิตยาในกลุ่มยุโรป มีความเสี่ยงมาก หากพิจารณาสัดส่วนรายได้ของบริษัทยาในยุโรปจะพบว่ามีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐมากกว่า 25% ของรายได้รวม

เช่น Nordisk, GSK, Sanofi และ Roche มีรายได้จากตลาดสหรัฐมากกว่า 49% ของรายได้รวม

3. บริษัทยาในอเมริกา จะได้รับผลบวกในระยะสั้น แต่เป็นความเสี่ยงในระยะยาว

โดยบริษัทยาที่เป็นสัญชาติอมเริกา และมียอดขายสูงสุด เช่น AbbVie (72%) Bristol Myers (71%) Eli Lilly (67%)

ซึ่งบริษัทผลิตยา Bristol-Myers Squibb, Pfizer และ Sanofi อาจเผชิญกับผลกระทบต่อกำไรที่มากกว่า

ในขณะที่ ผู้ผลิตวัคซีนจะได้รับผลกระทบมากกว่าเพราะฐานการผลิตส่วนใหญ่อยู่นอกสหรัฐ

โดยสรุปแล้วในระยะสั้น กลุ่มผู้ผลิตยายังมีความเสี่ยงหลังทรัมป์เตรียมประกาศมาตรการภาษีที่เกี่ยวข้องกับยาเร็วๆนี้ ทำให้ในภาพรวมเรายังแนะระมัดระวังกลุ่ม Pharma และแนะมองกลุ่ม Healthcare Service ที่มีสัดส่วนรายได้ภายใน US Domestic ซึ่งทำให้ผลกระทบจากภาษีนำเข้าดูจำกัดกว่ากลุ่มอื่น

.

แถมท้ายข้อมูลอีกนิด ปัจจุบันนักลงทุนหุ้นไทย สามารถซื้อ DR ที่ลงทุนในธุรกิจ Healthcare ระดับโลกได้แล้ว

โดยมีกลุ่มที่น่าสนใจ คือ 

1. Novo Nordisk A/S จากตลาด Nasdaq Copenhagen รหัส NOVOB80

บริษัทเภสัชกรรมจากประเทศเดนมาร์ก เชี่ยวชาญในการพัฒนาและผลิตยาสำหรับการรักษาโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอินซูลิน และปากกาลดน้ำหนัก 

มีชื่อเสียงในด้านการวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์

.

2. Sanofi SA จากตลาด Euronext Paris รหัส SANOFI80

บริษัทเภสัชกรรมจากประเทศฝรั่งเศส บริษัทชั้นนำในวงการเภสัชกรรมระดับโลกมีความเชี่ยวชาญในการวิจัย พัฒนาและจำหน่ายยารักษาโรคต่างๆ 

รวมทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ

.

3.  Eli Lilly and Company จากตลาด NYSE รหัส LLY80X

บริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนายาและนวัตกรรมทางการแพทย์ และยังเป็นบริษัทยารายแรกของโลกที่ผลิตอินซูลินในการรักษาโรคเบาหวาน

 


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง