ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ยุคปันผลสูง
.
รู้หรือไม่ว่าตั้งแต่เปิดปี 2568 มานี้ SET Index ร่วงลงไปแล้วกว่า -25%
หรือถ้าถอยกลับไปไกลกว่านั้น 1 ปี ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงกว่า -38%
ยิ่งไปต้องพูดถึงช่วง 5 ปีมานี้ ที่ตลาดหุ้นไทยน่าจะเรียกว่า "ย่ำแย่" ที่สุด ก็อาจจะไม่ผิดนักด้วยผลตอบแทน -45%
มองไปทางไหน ตลาดหุ้นไทยก็ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสให้เหมาะแก่การลงทุนเลย
.
แต่ถ้าเราสังเกต ตั้งแต่เปิดปี 2568 ถือเป็นปีที่น่าสนใจเพราะนักลงทุนมักจะได้ยิน 2 เรื่องราวที่ไม่ได้เห็นมาสักพักใหญ่ๆแล้ว
นั้นก็คือ เรื่องของการจ่ายเงินปันผลพิเศษ และเรื่องของการซื้อหุ้นคืน
เมื่อไม่นานมานี้ มีหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษออกมา ส่งผลให้หุ้นวิ่งอย่างรวดเร็ว
ปรับตัวขึ้นมา Outperform ตลาดได้อย่างดี
และอีกกรณีหนึ่ง คือ หุ้นพลังงานขนาดใหญ่ของตลาดหุ้นไทยที่เรียกได้ว่าเป็น "เสาหลัก" ได้มีการประกาศซื้อหุ้นคืน
ส่งผลให้หุ้นปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อบรรยากาศโดยรวมของหุ้นไทยให้เชิงบวก
ยังไม่นับรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อีกหลายตัวเริ่มทยอยประกาศซื้อหุ้นคืน กันไปบ้างแล้ว
และหุ้นที่เข้ามา IPO ได้ไม่นาน จนราคาต่ำกว่าราคาจองซื้อก็ออกมายอมรับว่าสนใจในเรื่องของการซื้อหุ้นคืน
.

ประเด็นเรื่องของการซื้อหุ้นคืน และการจ่ายปันผลพิเศษ กำลังบ่งบอกว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่ยุค "ปันผลสูง"
ทำให้นักวิเคราะห์หลายๆคนมองว่า ณ จุดนี้ ไม่ควรขายหุ้นไทยแล้วด้วยสาเหตุ 2 ประการด้วยกัน คือ
1. ช่วงนี้ถือสินทรัพย์เสี่ยงประเภทไหน ก็มีความผันผวนด้วยกันทั้งสิ้น
ทรัพย์สินที่ Outperform ดีๆก็สามารถพลิกกลับมาร่วงแรงได้ภายในค่ำคืน เช่น ทองคำ ตลาดหุ้นเวียดนาม หุ้นเทคโนโลยี หรือแม้แต่คริปโทเคอร์เรนซี
ก็มีความผันผวนจากนโยบายตอบโต้ภาษีของสหรัฐอเมริกา (Reciprocal Tariff)
2. การจ่ายเงินปันผลดี และการประกาศซื้อหุ้นคืน อาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ดังนั้น กลยุทธ์ในจังหวะนี้ นักวิเคราะห์มักจะแนะนำ คือ ทยอยซื้อหุ้น แบ่งไม้ซื้อ
ถ้าหุ้นขึ้นอาจจะมีการขายทำกำไรภายในกรอบ ถ้าหุ้นลงก็ทยอยซื้อไว้บ้าง
พูดง่ายๆ คือ แกว่งตัวในกรอบ เพราะ SET Index ไม่น่าจะไปไหนได้ไกลเพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่
.
ในภาวะที่ทุกอย่างไม่สดใส การคาดหวังผลตอบแทนจากตลาดหุ้นแบบสูงๆ เป็นไปได้ยาก
ประกอบกับผลตอบแทนจากการลงทุนทางเลือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงิน ซื้อหุ้นกู้ ตราสารหนี้ ทองคำ หรือแม้แต่การลงทุนต่างประเทศก็ดูจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนักในภาวะแห่งความผันผวน ดังนั้น นักลงทุนควรหันมามองการลงทุนใน "หุ้นปันผล" ที่พอจะหาได้ในตลาดหุ้นแม้ว่าอัตราการปันผลเทียบกับราคาหุ้นอาจจะไม่ได้สูงมากนัก
หุ้นปันผลที่ให้อัตราผลตอบแทนปีละประมาณ 4-5% ก็พอจะมีให้ลงทุนและมีจำนวนพอที่จะซื้อหลายตัวเพื่อกระจายความเสี่ยงได้
.
คำถามคือ ถ้าเราจะเลือกลงทุนในหุ้นปันผล มีหลักการอะไรบ้างที่เราควรวิเคราะห์ก่อนลงทุน
1. เป็นสินค้าที่มีความต้องการซื้ออยู่เสมอ (Demand) ไม่ถูกดิสรัปจากเทคโนโลยี อย่างน้อยในอีก 10 ปีข้างหน้า
2. ต้องเป็นบริษัทที่สามารถแข่งขันได้ ยิ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆด้วยยิ่งดี
3. ต้องเป็นบริษัทที่มีประวัติยาวนาน ฝ่าฟันวิกฤตต่างๆมาได้ พิสูจน์มาแล้วว่ามีการผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายมาหลายรอบแล้ว
4. บริษัทต้องมี "กำไร" สม่ำเสมอ ** ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้ากำไรไม่มี หรือแนวโน้มของกำไรลดลง การจ่ายปันผลก็อาจจะไม่มีหรือจ่ายปันผลน้อยลงเรื่อยๆ
5. ฐานะทางการเงินมั่นคง ต้องไม่มีหนี้สินสูง หรือถ้าไม่มีหนี้ด้วยยิ่งดี
6. ราคาหุ้นต้องไม่แพง ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุด คือ ดูจากค่า P/E ไม่ควรเกิน 10 เท่า และ P/BV ไม่เกิน 1-3 เท่า
ค่า Dividend Yield มองย้อนหลัง 4-5 ปีมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอและไม่ต่ำกว่า 5-6% ขึ้นไปได้ก็ยิ่งดี
.
แน่นอนว่าการลงทุนในหุ้น สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย คือ ราคาหุ้น
แต่เราต้องเข้าใจว่าการลงทุนในหุ้นปันผล ไม่จำเป็นต้องจดจ่อกับราคาหุ้นทุกวัน
เพราะวัตถุประสงค์ตั้งแต่แรกของเราก็คือ เราหวังว่าจะได้ปันผลตอบแทนปีละครั้งหรือสองครั้ง
และถ้าเรามองระยะยาวกว่านั้น คือ ปันผลที่เราได้จะเพิ่มขึ้นไหมในปีถัดไป ก็คือกำไรของบริษํทเพิ่มขึ้น
หรือไม่ก็มีการซื้อหุ้นคืนเพื่อลดจำนวนหุ้นและทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มและปันผลต่อหุ้นเพิ่มตาม
ดังนั้น ข้อสรุปของการลงทุนในหุ้นยุคปันผลสูง คือ เราไม่ควรสนใจราคามากนัก เพราะในที่สุดแล้ว ถ้าปันผลเพิ่ม ระยะยาวราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ปันผลที่เข้ามาจะเพิ่มมูลค่าพอร์ตของเราในระยะยาว และเป็นการเพิ่มความมั่งคั่งของเราในท้ายที่สุด
และสำหรับหุ้นหลายๆตัว ปันผลที่เราได้ประมาณ 7-8% ซึ่งหาไม่ยากเลย ณ เวลานี้
ก็คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนทางเลือกอื่นๆ