มองหาโอกาส SET แผ่นดินไหวหนักสุดในรอบ 100 ปี ส่งผลหุ้นแต่ละกลุ่มอย่างไร ?
เรียกได้ว่าเป็นอีกเหตุการณ์ภัยพิบัติที่รุนแรงมาก ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่มีใครคาดคิดมาก่อน กับเรื่องของแผ่นดินไหวเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา
ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยประกาศปิดการซื้อขายทันที
ในช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมานักลงทุนแสดงความไม่มั่นใจต่อตลาดหุ้นไทยและมีแนวโน้มว่าอาจจะเทขายทันทีเมื่อตลาดเปิด
เชื่อว่าวันอังคาร น่าจะเป็นอีกวันที่ SET Index มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในแดนลบ
อย่างไรก็ตามวิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะถ้าเราดูในอดีตที่ผ่านมา
ปี 2547 สึนามิที่ภาคใต้ของประเทศไทย
ปี 2554 น้ำท่วมครั้งใหญ่
และปี 2568 แผ่นดินไหวครั้งใหญ่
คำถาม คือ เราจะรับมือ SET แผ่นดินไหวหนักสุดในรอบ 100 ปี จะส่งผลหุ้นแต่ละกลุ่มอย่างไร และเราจะมองหาโอกาสในวิกฤตนี้ได้อย่างไร ?
เราลองมาวิเคราะห์กันครับ
[กลุ่มแรก คือ อสังหาริมทรัพย์]
แน่นอว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น เป็น "ภาพลบ" โดยเฉพาะกลุ่มคอนโด และอสังหาริมทรัพย์ประเภท High rise
ตัวอย่างหุ้นกลุ่มที่มีพอร์ตหลักเป็นคอนโด เช่น AP, SPALI, SIRI, SC และ PSH
ในขณะที่กลุ่มประเภทอสังหาริมทรัพย์แนวราบ เช่น LH, QH และ LALIN จะได้ผลกระทบที่น้อยกว่า
บทวิเคราะห์หลายแห่งมองตรงกันว่า การดำเนินงานของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มทรุดตัว ใน 2Q68
และเป็น Downside ต่อประมาณการทั้งปีของกลุ่ม ทำให้แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นน่าจะแย่กว่าตลาดในภาพรวม
อย่างไรก็ตาม จังหวะนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสได้ด้วยเหมือนกัน กล่าวคือ นักลงทุนสามารถมองดูได้ว่า แบรนด์ไหนสามารถ Take Action ได้ดีกว่า ดูแลลูกค้าโครงการได้่ ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา อาจจะกลายมาเป็นหุ้นฟื้นตัวได้ในอนาคต
ดังนั้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง มีภาพเป็นลบโดยเฉพาะบริษัทที่มีพอร์ตหลักเป็นคอนโด แต่ในความเสี่ยงก็มีโอกาสซ่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ต้องใช้เวลาอีกสักพัก
[กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มธนาคาร]
ในวิกฤตภัยธรรมชาติที่ผ่านมามีโอกาสสูงมากที่เราน่าจะเห็นแบงก์ชาติ ลดออัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งภาพน่าจะออกมาเป็นในโทนบวก
แต่เราต้องไม่ลืมว่า กลุ่มธนาคารหลายแห่งก็มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงด้วยเหมือนกัน โดย 3 อันดับแรก คือ
SCB มีสัดส่วน 32% ของสินเชื่อ
TTB มีสัดส่วน 26% ของสินเชื่อ และ KTB มีสัดส่วน 19% ของสินเชื่อ
และเวลาเกิดภัยพิบัติ มักจะตามมาด้วยความช่วยเหลือ เช่น การลดค่างวด การพักชำระเงินต้น และการลดดอกเบี้ยซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อรายได้และกำไรของกลุ่มแบงก์ทำให้เมื่อเราผสมกันระหว่างแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติ และการช่วยเหลือลูกค้าของกลุ่มแบงก์ ทำให้ภาพรวมออกมาเป็นโทน "กลางๆ" คือไม่ได้ดีมาก และก็ไม่ได้แย่มาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในกลุ่มแบงก์ คือ เป็นกลุ่มที่ Valuation ไม่แพง และปันผลสูง
การที่ราคาหุ้นลดลงมาจากความกังวลอาจจะเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้เก็บหุ้นแบงก์เพิ่มในราคาถูกมากกว่าเดิม และได้ Dividend Yield ที่สูงขึ้น
[กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มท่องเที่ยว]
เวลาเราพูดถึงท่องเที่ยว ก็จะตามมาด้วยกลุ่มโรงแรม แน่นอนว่าภาพที่ออกมาอยู่ในภาพที่เป็นลบ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่จะมาไทยลดลง และน้อยกว่าสมมุติฐานที่ตั้งไว้
สำหรับปี 2568 บทวิเคราะห์หลายแห่งมองว่า นักท่องเที่ยวเข้ามาไทยน่าจะอยู่ที่ 38.6 ล้านคน หรือคิดเป็นการเติบโตประมาณ 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน
เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เชื่อว่าน่าจะมีการปรับลดนักท่องเที่ยวที่จะมาไทยลดลง และจะส่งผลกระทบต่อหุ้นสนามบิน (AOT) และกลุ่มการบินมากที่สุดตามมาด้วยกลุ่มโรงแรม เช่น ERW, CENTEL, MINT, SHR และ AWC
แต่ถ้าเราเจาะลึกในแต่ละบริษัท จะพบว่าหุ้นกลุ่มโรงแรมบางบริษัทมีรายได้กว่าครึ่งมาจากต่างประเทศ
หรือบางบริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอาหารกว่าครึ่ง ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็อาจจะไม่ได้หดตัวลงอย่างที่คาดกันเอาไว้
ดังนั้น นักลงทุนอาจจะต้องมีการเจาะลึกเป็นรายตัว และใช้จังหวะที่หุ้นถูกถล่มลงมาเป็นโอกาสได้ด้วยเหมือนกัน
[กลุ่มที่สี่ คือ พลังงานและปิโตรเคมี]
เป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เช่น PTT มีการแจ้งว่าบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ
หรือแม้แต่ PTTEP ที่มีแท่นขุดเจาะอยู่ที่อ่าวเมาะตะมะ ประเทศเมียนมา ก็ยังดำเนินการผลิตก๊าซธรรมชาติได้ตามปกติ
ทำให้ภาพของกลุ่มพลังงานไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักจากวิกฤตแผ่นดิ่นไหว
[กลุ่มที่ห้า คือ รับเหมาก่อสร้าง]
มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการชะลอการก่อสร้างในภาพรวม การตรวจสอบความปลอดภัยในการก่อสร้างมีผลต่อความเชื่อมั่นที่ลดลง
โดยเฉพาะ ITD ที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด สาเหตุเป็นเพราะว่า โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างถล่มเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ผู้สูญหาย และผู้บาดเจ็บ บริษัทฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการร่วมค้า ไอที่ดี-ซีอาร์อีซี
โดยบริษัทออกมาชี้แจงว่า พร้อมเยี่ยวยาครอบครัวผู้สูญเสีย ผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว
แน่นอนว่าหุ้น ITD มีปัญหาเยอะมากในช่วงที่ผ่านมา และการเกิดวิกฤตครั้งนี้ น่าจะกดดันผลประกอบการของ ITD อย่างต่อเนื่องไปอีก
อย่างไรก็ตามหุ้นรับเหมาก่อสร้างบางบริษัทมีสัญญากับภาครัฐ และการก่อสร้างบางสถานที่ไม่ได้รับความเสียหายกับงานโครงสร้าง ทำให้ผลกระทบมีอยู่อย่างจำกัด
แต่สิ่งที่เสียหาย คือ เรื่องของความเชื่อมั่นที่ต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักกว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งหนึ่ง
[กลุ่มที่หก คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง]
ได้รับผลกระทบเชิงบวก จากปริมาณงานซ่อมแซมที่มากขึ้น
[กลุ่มที่เจ็ด คือ กลุ่ม Non-Bank]
ตัวอย่างหุ้นกลุ่มนี้ที่เห็นได้ชัด คือ MTC TIDLOR และ SAWAD
โดยวันที่ 31 มีนาคม หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงมา 4%-6% โดยประมาณ บ่งบอกว่าตลาดมีมุมมองเชิงลบ
โดยเฉพาะเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่น่าจะลดลงในปี 2568
[กลุ่มที่แปด คือ กลุ่มค้าปลีก และค้าส่ง]
ในตลาดหุ้นไทย ถ้าเราพูดถึงกลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง จะแบ่งออกเป็น กลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค และกลุ่มจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้าน
แน่นอนว่ากลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้านจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากความต้องการในการซ่อมแซมบ้านที่มีมากขึ้น อีกทั้งผลกระทบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการซื้อสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านมากขึ้น
โดยหุ้นกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน เช่น HMPRO, GLOBAL, ILM และ DOHOME
ส่วนกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค น่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกด้วยเช่นเดียวกัน การจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น การตุนสินค้าในบ้านหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีมากขึ้น
โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อและร้านค้าส่งที่เป็นอาคารไม่สูง จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่าเป็น Shopping Mall ที่เป็นอาคารสูง
โดยภาพรวมแล้วแผ่นดินไหวต่อตลาดหุ้นไทย น่าจะมีผลกระทบไม่ลากยาวเหมือนวิกฤตที่ผ่านมา
หอการค้าไทยมองว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้จะฉุดเศรษฐกิจไทยระยะสั้น ความเสียหาย 3-5 พันล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ราวๆ 0.025%
มุมมองนักวิเคราะห์หลายแห่งเชื่อว่า ถ้าความเชื่อมั่นกลับมา เหตุการณ์คลี่คลายลง เศรษฐกิจไทยก็พร้อมฟื้นตัวได้ทันที
สุดท้าย บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส ฝากข้อสังเกตไว้ว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้คล้ายกับเหตุการณ์สึนามิ ในปี 2547 มากกว่า
กล่าวคือ ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวลง 3 วันแรก และทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วง 1-3 เดือน พรอ้มกับ FundFlow ต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นไทย
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มีจุดที่แตกต่าง คือ FundFlow ต่างชาติไม่ได้เข้ามา และ Volume การซื้อขายลดลงมากเมื่อเทียบกับในอดีต
ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยลดลงแล้วอาจจะไม่ได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเหมือนในอดีต แต่จะเป็นลักษณะค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ พร้อมกับความเชื่อมั่นของคนที่ค่อยๆปรับตัวดีขึ้น
#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #หุ้นไทย #ตลาดหุ้นไทย