#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน
#แนวคิดด้านการลงทุน
#มือใหม่เริ่มลงทุน
#วางแผนการเงิน

มองหาโอกาส SET แผ่นดินไหวหนักสุดในรอบ 100 ปี ส่งผลหุ้นแต่ละกลุ่มอย่างไร ?

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
394 views

มองหาโอกาส SET แผ่นดินไหวหนักสุดในรอบ 100 ปี ส่งผลหุ้นแต่ละกลุ่มอย่างไร ?

เรียกได้ว่าเป็นอีกเหตุการณ์ภัยพิบัติที่รุนแรงมาก ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่มีใครคาดคิดมาก่อน กับเรื่องของแผ่นดินไหวเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา

ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยประกาศปิดการซื้อขายทันที

ในช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมานักลงทุนแสดงความไม่มั่นใจต่อตลาดหุ้นไทยและมีแนวโน้มว่าอาจจะเทขายทันทีเมื่อตลาดเปิด

เชื่อว่าวันอังคาร น่าจะเป็นอีกวันที่ SET Index มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในแดนลบ

อย่างไรก็ตามวิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะถ้าเราดูในอดีตที่ผ่านมา

ปี 2547 สึนามิที่ภาคใต้ของประเทศไทย

ปี 2554 น้ำท่วมครั้งใหญ่

และปี 2568 แผ่นดินไหวครั้งใหญ่

คำถาม คือ เราจะรับมือ SET แผ่นดินไหวหนักสุดในรอบ 100 ปี จะส่งผลหุ้นแต่ละกลุ่มอย่างไร และเราจะมองหาโอกาสในวิกฤตนี้ได้อย่างไร ?

เราลองมาวิเคราะห์กันครับ

[กลุ่มแรก คือ อสังหาริมทรัพย์]

แน่นอว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น เป็น "ภาพลบ" โดยเฉพาะกลุ่มคอนโด และอสังหาริมทรัพย์ประเภท High rise

ตัวอย่างหุ้นกลุ่มที่มีพอร์ตหลักเป็นคอนโด เช่น AP, SPALI, SIRI, SC และ PSH

ในขณะที่กลุ่มประเภทอสังหาริมทรัพย์แนวราบ เช่น LH, QH และ LALIN จะได้ผลกระทบที่น้อยกว่า

บทวิเคราะห์หลายแห่งมองตรงกันว่า การดำเนินงานของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มทรุดตัว ใน 2Q68

และเป็น Downside ต่อประมาณการทั้งปีของกลุ่ม ทำให้แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นน่าจะแย่กว่าตลาดในภาพรวม

อย่างไรก็ตาม จังหวะนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสได้ด้วยเหมือนกัน กล่าวคือ นักลงทุนสามารถมองดูได้ว่า แบรนด์ไหนสามารถ Take Action ได้ดีกว่า ดูแลลูกค้าโครงการได้่ ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา อาจจะกลายมาเป็นหุ้นฟื้นตัวได้ในอนาคต

ดังนั้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง มีภาพเป็นลบโดยเฉพาะบริษัทที่มีพอร์ตหลักเป็นคอนโด แต่ในความเสี่ยงก็มีโอกาสซ่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ต้องใช้เวลาอีกสักพัก

[กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มธนาคาร]

ในวิกฤตภัยธรรมชาติที่ผ่านมามีโอกาสสูงมากที่เราน่าจะเห็นแบงก์ชาติ ลดออัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งภาพน่าจะออกมาเป็นในโทนบวก

แต่เราต้องไม่ลืมว่า กลุ่มธนาคารหลายแห่งก็มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงด้วยเหมือนกัน โดย 3 อันดับแรก คือ

SCB มีสัดส่วน 32% ของสินเชื่อ

TTB มีสัดส่วน 26% ของสินเชื่อ และ KTB มีสัดส่วน 19% ของสินเชื่อ

และเวลาเกิดภัยพิบัติ มักจะตามมาด้วยความช่วยเหลือ เช่น การลดค่างวด การพักชำระเงินต้น และการลดดอกเบี้ยซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อรายได้และกำไรของกลุ่มแบงก์ทำให้เมื่อเราผสมกันระหว่างแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติ และการช่วยเหลือลูกค้าของกลุ่มแบงก์ ทำให้ภาพรวมออกมาเป็นโทน "กลางๆ" คือไม่ได้ดีมาก และก็ไม่ได้แย่มาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในกลุ่มแบงก์ คือ เป็นกลุ่มที่ Valuation ไม่แพง และปันผลสูง

การที่ราคาหุ้นลดลงมาจากความกังวลอาจจะเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้เก็บหุ้นแบงก์เพิ่มในราคาถูกมากกว่าเดิม และได้ Dividend Yield ที่สูงขึ้น

[กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มท่องเที่ยว]

เวลาเราพูดถึงท่องเที่ยว ก็จะตามมาด้วยกลุ่มโรงแรม แน่นอนว่าภาพที่ออกมาอยู่ในภาพที่เป็นลบ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่จะมาไทยลดลง และน้อยกว่าสมมุติฐานที่ตั้งไว้

สำหรับปี 2568 บทวิเคราะห์หลายแห่งมองว่า นักท่องเที่ยวเข้ามาไทยน่าจะอยู่ที่ 38.6 ล้านคน หรือคิดเป็นการเติบโตประมาณ 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน

เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เชื่อว่าน่าจะมีการปรับลดนักท่องเที่ยวที่จะมาไทยลดลง และจะส่งผลกระทบต่อหุ้นสนามบิน (AOT) และกลุ่มการบินมากที่สุดตามมาด้วยกลุ่มโรงแรม เช่น ERW, CENTEL, MINT, SHR และ AWC

แต่ถ้าเราเจาะลึกในแต่ละบริษัท จะพบว่าหุ้นกลุ่มโรงแรมบางบริษัทมีรายได้กว่าครึ่งมาจากต่างประเทศ

หรือบางบริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอาหารกว่าครึ่ง ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็อาจจะไม่ได้หดตัวลงอย่างที่คาดกันเอาไว้

ดังนั้น นักลงทุนอาจจะต้องมีการเจาะลึกเป็นรายตัว และใช้จังหวะที่หุ้นถูกถล่มลงมาเป็นโอกาสได้ด้วยเหมือนกัน

[กลุ่มที่สี่ คือ พลังงานและปิโตรเคมี]

เป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เช่น PTT มีการแจ้งว่าบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ

หรือแม้แต่ PTTEP ที่มีแท่นขุดเจาะอยู่ที่อ่าวเมาะตะมะ ประเทศเมียนมา ก็ยังดำเนินการผลิตก๊าซธรรมชาติได้ตามปกติ

ทำให้ภาพของกลุ่มพลังงานไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักจากวิกฤตแผ่นดิ่นไหว

[กลุ่มที่ห้า คือ รับเหมาก่อสร้าง]

มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการชะลอการก่อสร้างในภาพรวม การตรวจสอบความปลอดภัยในการก่อสร้างมีผลต่อความเชื่อมั่นที่ลดลง

โดยเฉพาะ ITD ที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด สาเหตุเป็นเพราะว่า โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างถล่มเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ผู้สูญหาย และผู้บาดเจ็บ บริษัทฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการร่วมค้า ไอที่ดี-ซีอาร์อีซี

โดยบริษัทออกมาชี้แจงว่า พร้อมเยี่ยวยาครอบครัวผู้สูญเสีย ผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

แน่นอนว่าหุ้น ITD มีปัญหาเยอะมากในช่วงที่ผ่านมา และการเกิดวิกฤตครั้งนี้ น่าจะกดดันผลประกอบการของ ITD อย่างต่อเนื่องไปอีก

อย่างไรก็ตามหุ้นรับเหมาก่อสร้างบางบริษัทมีสัญญากับภาครัฐ และการก่อสร้างบางสถานที่ไม่ได้รับความเสียหายกับงานโครงสร้าง ทำให้ผลกระทบมีอยู่อย่างจำกัด

แต่สิ่งที่เสียหาย คือ เรื่องของความเชื่อมั่นที่ต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักกว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งหนึ่ง

[กลุ่มที่หก คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง]

ได้รับผลกระทบเชิงบวก จากปริมาณงานซ่อมแซมที่มากขึ้น

[กลุ่มที่เจ็ด คือ กลุ่ม Non-Bank]

ตัวอย่างหุ้นกลุ่มนี้ที่เห็นได้ชัด คือ MTC TIDLOR และ SAWAD

โดยวันที่ 31 มีนาคม หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงมา 4%-6% โดยประมาณ บ่งบอกว่าตลาดมีมุมมองเชิงลบ

โดยเฉพาะเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่น่าจะลดลงในปี 2568

[กลุ่มที่แปด คือ กลุ่มค้าปลีก และค้าส่ง]

ในตลาดหุ้นไทย ถ้าเราพูดถึงกลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง จะแบ่งออกเป็น กลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค และกลุ่มจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้าน

แน่นอนว่ากลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้านจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากความต้องการในการซ่อมแซมบ้านที่มีมากขึ้น อีกทั้งผลกระทบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการซื้อสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านมากขึ้น

โดยหุ้นกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน เช่น HMPRO, GLOBAL, ILM และ DOHOME

ส่วนกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค น่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกด้วยเช่นเดียวกัน การจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น การตุนสินค้าในบ้านหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีมากขึ้น

โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อและร้านค้าส่งที่เป็นอาคารไม่สูง จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่าเป็น Shopping Mall ที่เป็นอาคารสูง

โดยภาพรวมแล้วแผ่นดินไหวต่อตลาดหุ้นไทย น่าจะมีผลกระทบไม่ลากยาวเหมือนวิกฤตที่ผ่านมา

หอการค้าไทยมองว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้จะฉุดเศรษฐกิจไทยระยะสั้น ความเสียหาย 3-5 พันล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ราวๆ 0.025%

มุมมองนักวิเคราะห์หลายแห่งเชื่อว่า ถ้าความเชื่อมั่นกลับมา เหตุการณ์คลี่คลายลง เศรษฐกิจไทยก็พร้อมฟื้นตัวได้ทันที

สุดท้าย บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส ฝากข้อสังเกตไว้ว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้คล้ายกับเหตุการณ์สึนามิ ในปี 2547 มากกว่า

กล่าวคือ ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวลง 3 วันแรก และทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วง 1-3 เดือน พรอ้มกับ FundFlow ต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นไทย

แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มีจุดที่แตกต่าง คือ FundFlow ต่างชาติไม่ได้เข้ามา และ Volume การซื้อขายลดลงมากเมื่อเทียบกับในอดีต

ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยลดลงแล้วอาจจะไม่ได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเหมือนในอดีต แต่จะเป็นลักษณะค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ พร้อมกับความเชื่อมั่นของคนที่ค่อยๆปรับตัวดีขึ้น

#Stock2morrow #สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #หุ้นไทย #ตลาดหุ้นไทย


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง