คุณคือเทรดเดอร์หรือนักลงทุน?
คำว่า “เทรด” กับ “ลงทุน” ก็เป็นสองคำที่มีการใช้สลับไปมา จนหลายคนคิดว่าความหมายก็คงเหมือนๆ กันแหละ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สองคำนี้มีความแตกต่างกันที่ค่อนข้างชัดเจน
ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้พยายามทำตัวเป็นตาแก่ขี้บ่นที่คอยเน้นย้ำ ว่าคุณต้องเรียกแทนตัวให้ถูกเสมอไปนะ จริงๆ แล้วคุณจะเรียกตัวเองว่าอะไรก็ไม่ผิดหรอกครับ สิ่งที่สำคัญมากกว่า คือ คุณรู้จักตัวคุณเองหรือยัง? ว่าด้วยนิสัยและพฤติกรรมของคุณนั้นเหมาะกับแนวการเทรด หรือการลงทุน?
ลองนั่งแล้วหยุดคิดพิจารณาดูว่า คนสองกลุ่มนี้มีความต่างทางแนวคิด รวมถึงแนวทางปฏิบัติอย่างไร? หากต้องจับตัวเราเองลงกล่อง เราจะเลือกไปอยู่กล่องไหน ? เมื่อเลือกกล่องได้ mindset ของการเทรดลงทุนในกล่องนั้นๆ ก็จะตามมา ซึ่งตัวนี้นี่แหละที่จะนำพาเราให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้
แล้วคุณล่ะครับ เป็นนักลงทุน? หรือ เทรดเดอร์? มาลองหาคำตอบกัน
คุณกำลังจะซื้อบริษัทหรือซื้อหุ้น?
ในมุมมองของ”นักลงทุน” การซื้อหุ้น นั้นคือ การซื้อบริษัท ดังนั้น นักลงทุนจะเลือกลงทุนเฉพาะในบริษัทที่เชื่อว่าดี เชื่อว่าจะมีการเติบโตในอนาคต นักลงทุนมองหาความมั่นคั่งจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในตัวบริษัท จึงไม่แปลกว่า นักลงทุนจะสนใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เพื่อกรองหาหุ้นชั้นดี ในราคาที่ถูกหรือเหมาะสมเมื่อโอกาสมาถึง นักลงทุนเหล่านี้ก็จะเข้าซื้อแล้วถือเป็นระยะเวลานาน (buy and hold) อาจจะเป็นเดือนหรือปี ตราบใดที่พื้นฐานของหุ้นนั้นๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลง (skill ที่นักลงทุนควรมี คือ การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของบริษัท)
ในขณะที่ “เทรดเดอร์” มักจะไม่สนใจในมูลค่าของหุ้น บางครั้งหุ้นที่ซื้อไปยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร แต่จะมองหาโอกาสในการสร้างกำไรจากความต่างของราคาซื้อขายเสียมากกว่า (ในแง่หนึ่ง เทรดเดอร์ไม่กลัวกับการซื้อหุ้นที่ใครๆ ก็บอกว่าแพงแล้ว หากเขามั่นใจว่า เขาสามารถขายหุ้นตัวนี้ได้ในราคาที่แพงกว่า) เทรดเดอร์จะถือครองหุ้นในช่วงเวลาที่สั้นกว่า เป็นรายวัน หรือสั้นกว่านั้น ด้วยหวังว่ากรซื้อขายในช่วงสั้นๆ แต่บ่อยๆ ถี่ๆ จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่เทียบเท่าหรือดีกว่าการ buy and hold ของนักลงทุน (skill ที่เทรดเดอร์ต้องมี คือ ความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์สัญญาณทางเทคนิค)
ระดับความเสี่ยงที่รับได้
ความเสี่ยงจากการเทรดหรือลงทุนเป็นอีกประเด็นที่ต้องพิจารณา เพราะคนแต่ละคนสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับที่ไม่เท่ากัน
สำหรับเทรดเดอร์ การซื้อหุ้นในบริษัทที่เราไม่รู้จักถือเป็นความเสี่ยงที่สูงระดับหนึ่งแล้ว (ด้วยหวังถึงโอกาสการสร้างกำไรจากส่วนต่างของราคา) ดังนั้น หากทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ การมีวินัยสำหรับ stop loss หรือตัดขายขาดทุน ถือเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งของเทรดเดอร์
ในทางกลับกัน นักลงทุนอาจจะรู้สึกอุ่นใจมากกว่าเมื่อเกิดการลดลงของราคา เพราะหุ้นที่ซื้อมาล้วนวิเคราะห์แล้วว่าเป็นหุ้นดี อย่างไรก็ตาม ต้องดูด้วยว่าพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ มีเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า หากไม่มี นักลงทุนก็พร้อมรับความเสี่ยงในรูปแบบของ drawdown ที่สูงกว่า อีกทั้ง การลดลงของราคามากๆ อาจจะถือเป็นโอกาสดีในการซื้อเพิ่มได้ คำถาม คือ มั่นใจไหมว่าหุ้นของเราดีจริง ? และ สอง นิ่งพอไหม(นอนหลับไหม) ถ้าราคาหุ้นที่ถืออยู่ตกลงกว่า 40%?
นักลงทุน VS เทรดเดอร์: แบบไหนดีกว่ากัน?
ผมชอบคำพูดหนึ่งที่บอกว่า การเป็นนักลงทุนกับเทรดเดอร์ ไม่มีอะไรที่ดีกว่า หรือ แย่กว่ากันหรอก (ดังนั้น หยุดเถียงกันได้แล้ว!) แต่ที่สำคัญกว่าคือ อย่าพยายามเป็นทั้งนักลงทุนและเทรดเดอร์ในเวลาเดียวกัน
เคยไหมครับ
(1) ก่อนเข้าซื้อหุ้น บอกว่าฉันเป็นเทรดเดอร์หวังสร้างกำไรจากส่วนต่างของราคา ถือไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ อยู่มาวันหนึ่งราคาหุ้นลดลงหนัก แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมขาย บอกว่าหุ้นตัวนี้ดี ถือยาวๆ ขาดทุนกว่า 30% ก็ยังกัดฟันกอดไว้อยู่
หรือ
(2) ก่อนเข้าซื้อหุ้นบอกว่าฉันเป็นนักลงทุน หุ้นที่เคยวิเคราะห์ทางพื้นฐานในอดีตว่าเป็นหุ้นดี แต่วันนี้ราคาวิ่งสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (intrinsic value) กว่าเท่าตัวแล้ว (ดังนั้น ไม่ควรเข้าซื้อ) แต่พอเห็นราคาวิ่งขึ้นเรื่อยๆ ติดต่อกัน 2-3 วัน ก็ไปแย่งซื้อกับเค้าด้วยเพราะกลัวตกรถ อ้างว่าสัญญาณทางเทคนิคบอกว่าซื้อได้ กลายเป็นติดดอยซะอย่างนั้น
โชคดีในการลงทุนครับ ☺
It is more important to know where you are going than to get there quickly.
― Isocrates