ในบรรดาบริษัทที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา หุ้นของ KCG หรือ บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก ถือเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่น่าสนใจและได้การตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี แม้ในยามที่ตลาดหุ้นไทยกำลังผันผวน Stock2morrow จึงขอพาทุกคนมาไขปริศนาถึง 5 เหตุผลที่ทำให้หุ้น KCG ครองใจและอยู่ในเรดาร์ของเหล่านักลงทุนกัน

1.CEO คนใหม่มีวิสัยทัศน์ในการบริหาร
คุณดำรงชัย วิภาวัฒนกุล CEO คนปัจจุบันของ KCG มีประสบการณ์ทำงานในบริษัทฯ มายาวนาน จึงเชี่ยวชาญในธุรกิจ และพร้อมต่อยอดความสำเร็จให้บริษัทฯ ด้วยวิสัยทัศน์ “Transition Towards Sustainable Growth สร้างองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน พร้อมสู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง” ผ่านยุทธศาสตร์ด้านวัฒนธรรมองค์กรและยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ ภายใต้ 7 แกนหลัก ได้แก่
- สร้างการเติบโตทางธุรกิจ (Growth)
- พัฒนาบุคลากร (People)
- ขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Innovation Data & Tech)
- ขยายตลาดส่งออก (Export)
- ยกระดับศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทันสมัยและครบวงจร (Supply Chain & Inventory)
- ยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Production & Automation)
- ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Development)

2.หุ้น KCG มีความโดดเด่น น่าลงทุน
หากดูจากงบการเงินช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าหุ้น KCG มีพื้นฐานกิจการที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2566 ที่เติบโตสูงสุดถึง 16.2% และมีกำไรสุทธิสูงขึ้น 26.9% จากปีก่อนหน้า และมียอดขายในไตรมาส 1 ปี 2567 ถึง 1,785.5 ล้านบาท โตขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 4.5% มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ค่อนข้างดี อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีนโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจากการสร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าครบวงจร KCG Logistics Park และการใช้เทคโนโลยีควบคุมสต็อกและการส่งสินค้า โดยนักวิเคราะห์หลายสำนักให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่าหุ้น KCG เป็นหุ้นที่นักลงทุนทั้งสายคุณค่าและสายเทคนิคควรซื้อเก็บไว้ เนื่องจากมีโอกาสเติบโตในอนาคตจากกลยุทธ์การดำเนินงานและภาพรวมของอุตสาหกรรม

3..อุตสาหกรรมอาหารสไตล์ตะวันตก เนย และชีสมีศักยภาพในการเติบโต
อัตราการบริโภคเนยและชีสในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตประมาณ 5-7% ต่อปี ซึ่ง KCG ถือเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มสินค้าทั้งประเภทเนยและชีส จากรายงานข้อมูลส่วนแบ่งการตลาดในปี 2564 โดย Euromonitor ระบุว่าผลิตภัณฑ์เนยของบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ที่ 55.0% ส่วนผลิตภัณฑ์ชีสมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ที่ 31.6% รวมถึงมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ใน 5 อันดับแรก ของตลาดวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารและเบเกอรี่ และบิสกิต จึงมีศักยภาพในการเติบโตในอุตสาหกรรมได้ในอนาคต
4.แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอแข็งแกร่ง ตอกย้ำความเป็นผู้นำอาหารสไตล์ตะวันตก
ผลิตภัณฑ์ของ KCG มีหลากหลาย ทั้งที่ผลิตและจัดจำหน่ายเอง และนำเข้าจากต่างประเทศ โดยแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหาร เบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ และผลิตภัณฑ์บิสกิต ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของอาหารตะวันตกและอาหารเอเชียฟิวชัน ไม่เพียงเท่านั้น ผลิตภัณฑ์ของ KCG ยังได้รับผลตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดี มีสินค้าติดตลาดหลายตัว สะท้อนผ่านยอดขายสินค้าปี 2564 – 2566 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
5.KCG วางเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2567 KCG ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตสร้างสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง หลังสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ จากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศ และการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้า โดย KCG จะมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการบริโภคสูง พร้อมเดินหน้าสร้างยอดขายจากช่องทางออนไลน์ ส่งออก และการออกสินค้าใหม่ รวมถึงผลักดันการเติบโตของกลุ่มลูกค้าหลักทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) และกลุ่มผู้บริโภค (B2C) ซึ่งช่วยยืนยันถึงตลาดของธุรกิจที่ยังมีช่องทางเติบโตได้เป็นอย่างดี
ท่ามกลางความตึงเครียดของสถานการณ์โลก ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเลือกหุ้นพื้นฐานดีจึงเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัย ซึ่งจากเหตุผลทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า KCG เป็นหุ้นไทยเปี่ยมศักยภาพที่นักลงทุนต่างให้การยอมรับ