สาเหตุที่ทำให้ค่าเงินริงกิตของมาเลเซีย อ่อนค่ามากสุดและไม่กลับไปที่ระดับเดิมอีกเลย เกิดจากประเด็นเรื่องของการส่งออก และพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้น
ทำให้ช่วงต้นปีที่ผ่านมาค่าเงินริงกิตอ่อนค่า ทะลุ 4.8 ริงกิตต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปี นับตั้งแต่ปี 2531 ในช่วงวิกฤตการเงินเอเชีย ...
หากดูการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในอดีต จะพบว่าในช่วงปี 2556-2559 ค่าเงินริงกิตอ่อนค่าลงเกือบ 50%
โดยเป็นช่วงที่ปรับฐานของค่าเงินริงกิตสู่จุดสมดุลใหม่
ประเด็น คือ ไทยเองก็กำลังเจอกับโครงสร้างหลายอย่าง คล้ายกับมาเลเซีย
ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า เหมือนกับค่าเงินริงกิต หากภาครัฐไม่ทำการแก้ไขแบบเร่งด่วน
แล้วถ้าเราเจาะลึกว่าค่าเงินริงกิตที่ร่วงหนัก มาจากสาเหตุอะไร (อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ KKP Research) พบว่า
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของดุลบัญชีเดินสะพัดของมาเลเซีย
- ดุลบัญชีเดินสะพัดของมาเลเซียเคยอยู่ในระดับ 15% ของ GDP แต่หลังปี 2553 ได้ปรับลดลงมาเหลือเพียง 2-3% ของ GDP
- ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลง มาจากดุลการค้าที่เกินดุลลดลงอย่างมาก จากระดับ 20% เหลือแค่ 10% ของ GDP
อ่านมาถึงตรงนี้ เราอาจจะสงสัยว่า
แล้วดุลการค้าที่เกินดุลลดลงอย่างมาก มาจากอะไร ?
คำตอบ คือ มาจาก 2 เหตุผลหลักด้วยกัน คือ
1. การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในสินค้าส่งออกหมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมสำคัญของมาเลเซีย
โดยมาเลเซียสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับคู่แข่ง เช่นเวียดนามและจีน ที่ได้เปรียบด้านค่าแรงที่ถูกกว่า
ทำให้มาเลเซียสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากเดิมที่เคยมีส่วนแบ่งถึงเกือบ 1 ใน 4 ในตลาดโลกลดลงมาเหลือ เพียง 10% เท่านั้น
รัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจใช้กลยุทธ์เน้นสินค้าที่อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เช่น ชิป แทนสินค้าเดิมที่มี Value-added ต่ำ
2. การเปลี่ยนจากประเทศ "ผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน" มาสู่ประเทศ "ผู้นำเข้าน้ำมันเข้ามาบริโภค"
ดุลการค้าผลิตน้ำมันเคยอยู่ที่ราว 5-6% ต่อ GDP ในช่วงปี 2545-2554
ได้ปรับลดลงต่อเนื่องจนเหลือเพียง 1% ของ GDP เท่านั้นในช่วงหลังโควิด
สาเหตุมาจากสภาพที่เสื่อมลงของแหล่งน้ำมันที่ผลิตมานาน และการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ที่น้อยลง
สวนทางกับการบริโภคที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอะไรกดดันค่าเงินริงกิตอีกบ้าง ?
คำตอบ คือ ปัญหาเรื่องของการคอรัปชั่นในประเทศ และการลดค่าเงินหยวนในปี 2558 กล่าวคือ
- ปัญหาภายในจากการฉ้อโกงของกองทุนเพื่อการพัฒนามาเลเซีย (1MDB) แทนที่จะนำเงินไปลงทุน กลับพบว่ามีการยักยอกเงินจำนวนมาก โดยมูลค่าความเสียหายราว 1.5% ของ GDP ปี 2558 ส่งผลให้เกิดการแห่ถอนเงินทุนออกจากมาเลเซีย
- การประกาศลดค่าเงินหยวนในปี 2558 ของ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ส่งผลให้สกุลเงินภูมิภาคปรับอ่อนค่าตามลงมาเช่นกัน โดยเฉพาะมาเลเซียที่มีจีน เป็นคู่ค้าสำคัญรายใหญ่ที่สุด

ค่าเงิน USD เทียบกับ Thai Baht
https://www.tradingview.com/chart/IMSwDjEs/?symbol=FX_IDC%3ATHBUSD
ประเด็นที่นักลงทุนต้องกลับมานั่งคิดต่อ คือ ค่าเงินบาทมีโอกาสสูงมากที่จะเดินตามรอยค่าเงินริงกิต เพราะมีปัญหาหลายอย่างคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็น
1. ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่มีแนวโน้มจะปรับลดลงถาวรตามความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกที่แย่ลงของไทย
2. ปัญหาด้านความมั่นคงทางพลังงานที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้นในอนาคต เมื่อแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศกำลังจะหมดลง
3. ดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่หลังพ้นช่วงโควิดมาก็ปรับขึ้นได้ไม่มาก เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า
4. ระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
และปัจจัยทั้งหมดที่เล่ามาคือ สิ่งที่จะกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าในระยะยาว หากไทยยังไม่มีแผนที่เป็นรูปธรรมมาดำเนินการนั่นเอง
ที่มา KKP Research : ค่าเงินบาทจะตามรอยริงกิตหรือไม่