ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ อุตสาหกรรมอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก
หลายคนคงจะเห็นร้านอาหารญี่ปุ่นมากมายแทบจะทุกแห่งให้เราเลือกรับประทานเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นในเมือง หรือชานเมืองก็ตาม
ปัจจุบันตลาดอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยนั้น มีมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านบาทเลยทีเดียว และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 5-7% อีกด้วย
ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของของอุตสาหกรรม มาจากกระแสความนิยมในวัฒนธรรมญี่ปุ่น จำนวนนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น
รวมไปถึงพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่เปลี่ยนแปลง นิยมไปทานอาหารนอกบ้านกันมากขึ้นนั่นเอง
แทบไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีกมากกว่านี้
แต่รู้หรือไม่ว่า มีร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งที่สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดด จนสามารถเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดได้สำเร็จ
ร้านดังกล่าว มีชื่อว่า MAGURO หรือ บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
MAGURO ประสบความสำเร็จได้อย่างไร เราจะพาไปรู้จักบริษัทนี้กันให้มากยิ่งขึ้น
ย้อนกลับไปในปี 2558 ร้าน MAGURO ถือกำเนิดขึ้นจากความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอประสบการณ์การทานอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยมให้คนไทยเข้าถึงได้ง่าย
มีเชพคอยรังสรรค์เมนูจากวัตถุดิบสดใหม่ชั้นเลิศ พร้อมบริการอันพิถีพิถันตามแบบฉบับวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
จุดแข็งสำคัญของ MAGURO คือ การนำเข้าวัตถุดิบคุณภาพสูงจากแหล่งผลิตชั้นนำในแดนอาทิตย์อุทัย ไม่ว่าจะเป็นท้องทะเลที่โอกินาวา และตลาดปลาสึกิจิที่โตเกียว รวมถึงวัตถุดิบจากประเทศอื่นๆ ควบคู่กับการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิตอย่างเข้มงวด

ตลอดจนบรรยากาศการตกแต่งร้านในสไตล์ญี่ปุ่นอย่างประณีต ส่งผลให้ MAGURO สามารถสร้างแบรนด์ และมีฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่เหนียวแน่น
จนเกิดการขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วในทั่วกรุงเทพ และปริมณฑล ทำให้ MAGURO มีสาขา 14 แห่งทั่วประเทศในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ต่อมา MAGURO ได้ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดร้านอาหารแบรนด์อื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อครอบคลุมหลากหลายรูปแบบการทานอาหาร อาทิ อาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยม ชาบู และปิ้งย่างสไตล์เกาหลี
ปัจจุบัน มากุโระ กรุ๊ป มีร้านอาหารในเครือรวม 3 แบรนด์ ได้แก่
- MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยม
- SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี
- HITORI SHABU ชาบู สุกี้แบบหม้อเดี่ยว ถูกใจคนชอบทานคนเดียว
ซึ่งทั้ง 3 แบรนด์นี้ ก็ยังคงใช้คอนเซปต์ตามฉบับของ MAGURO นั่นคือ การใช้วัตถุดิบแบบพรีเมี่ยม ในราคาที่เอี้อมถึงได้
ซึ่งหลายคนที่เห็นราคาขายในตอนแรก อาจจะมองว่าเป็นร้านอาหารราคาสูง แต่เมื่อได้ลองทานอาหารที่ทำจากวัตถุดิบคุณภาพสูง ที่ไม่สามารถหาได้ง่ายตามตลาดสด หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป พร้อมกับได้รับการบริการแบบ Full Services ก็ต่างบอกว่า "คุ้มค่า"
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำเรื่อยๆ เพราะไว้วางใจ และเชื่อมั่นในแบรนด์ของ MAGURO นั่นเอง
ถ้าเรามาดูผลประกอบการของ MAGURO ก็จะพบว่า
ปี 2564 รายได้ 388 ล้านบาท กำไร 10 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 666 ล้านบาท กำไร 32 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 1,046 ล้านบาท กำไร 73 ล้านบาท
เรียกได้ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทมีการเติบโตทั้งรายได้ และกำไรอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะเมื่อปี 66 บริษัทสามารถทำสถิติใหม่ ที่สร้างรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 57% จากปีก่อนหน้า
ซึ่งความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากกลยุทธ์การดำเนินงานที่ชาญฉลาด ครอบคลุมทั้งการขยายสาขาใหม่ และการเพิ่มแบรนด์ใหม่
มีการปรับตัวตามบรรทัดฐานใหม่ทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขาย และการตลาดผ่านออนไลน์ มีบริการจัดส่งของบริษัทเอง ภายใต้ชื่อ "มากุโระ โก"
รวมไปถึงการดึงดูดลูกค้าด้วยเมนูใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ยังคงบริการที่มีคุณภาพ และการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
แต่ข้อมูลในอดีตอาจจะไม่ได้กำหนดทิศทางผลการดำเนินงานข้างหน้า เพราะสิ่งที่นักลงทุนคาดหวัง คือ การเติบโตในอนาคตต่างหาก
และเราพอเห็นภาพของ MAGURO ข้างหน้าไว้อย่างไรบ้าง?
หลังจากระดมทุนในตลาด MAI ทางบริษัทก็มีแผนจะนำเงินที่ได้ไปใช้สำหรับการขยายธุรกิจ โดยจะเปิดร้านอาหารใหม่เพิ่ม 5-7 สาขาต่อปี
ซึ่งต้องบอกว่าการขยายสาขานั้นมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการเปิดสาขาใหม่อย่างมีนัยสำคัญของทั้ง 3 แบรนด์
เพราะหากดูในมุมมองของสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ บริษัทฯมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้นจาก 41.91% ในปี 2565 เป็น 45.17% ในปี 2566 เลยทีเดียว
ซึ่งนอกจากนำเงินไปขยายสาขาแล้ว ยังมีการนำเงินไปลงทุนพัฒนาสินค้า และบริการใหม่ๆ หรือแบรนด์ใหม่ในเครือ MAGURO อีกด้วย
สุดท้าย ด้วยความตั้งใจก่อตั้งร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ที่มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงที่สุดในราคาที่เหมาะสมและจริงใจ
จากสาขาแรกที่บางนา มาจนกระทั่งมีสาขาเกิดใหม่เรื่อยๆ แถมในเร็วๆนี้ก็กำลังจะได้เป็นบริษัทมหาชนให้นักลงทุนได้เป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของอีกด้วย
MAGURO เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดมาก ด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 8 ปีเท่านั้น
มารอดูกันว่า พวกเขาจะสานต่อความสำเร็จครั้งนี้อย่างไร หลังการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องติดตามต่อไปครับ...
