เวลาเราพูดถึงการเลือกหุ้น หุ้นอันดับแรกๆที่นักลงทุนมักจะให้ความสนใจ คือ "หุ้นเติบโต" หรือ Growth Stock
แต่ปัญหา คือ เรามักจะเจอกับวิธีการที่ยุ่งยากและซับซ้อนเกินกว่าที่นักลงทุนมือใหม่จะเข้าใจได้
คำถาม คือ วิธีการหาหุ้นเติบโตที่มือใหม่สามารถนำไปใช้ได้ พอจะมีวิธีไหนอีกบ้าง
คำตอบ คือ วิธีการที่เรียกว่า CANSLIM
CANSLIM เป็นสูตรคัดเลือกหุ้นแนว Hybrid ที่คิดค้นโดย William J. O'Neil สำหรับคัดกรองหุ้นที่มีผลประกอบการดี อัตราการเติบโตต่อเนื่อง และมีการเคลื่อนไหวของราคาแข็งแกร่งกว่าตลาด ประกอบด้วยหลัก 7 ข้อตามตัวอักษร
แบ่งเป็นปัจจัยเชิงพื้นฐาน คือ C-A-N
และเชิงเทคนิค คือ S-L-I-M
- C แทน Current Earnings
หมายถึง ผลกำไรในไตรมาสล่าสุดเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
โดยมีกฏ คือ ต้องเติบโตอย่างน้อย 20% ขึ้นไป
- A แทน Annual Earnings Growth
หมายถึง ผลประกอบการประจำปีมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและสม่ำเสมอ
โดยกำไรจะต้องมีการปรับเพิ่มติดต่อกัน 5 ปี (หรืออย่างน้อย 3 ปี) และต้องสอดคล้องกับรายได้ที่มั่นคงด้วย
- N แทน New Product
หมายถึง การออกสินค้า หรือบริการใหม่ๆ มี Business Model ใหม่ๆ หรือแม้แต่นวัตกรรมใหม่ๆอย่างสม่ำเสมอ
โดยเชื่อว่า ถ้าบริษัทมีอะไรใหม่ๆ จะเป็นตัวผลักดันให้ผลประกอบการเติบโต และการเติบโตจะทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่
- S แทน Supply and Demand
หมายถึง ต้องเป็นหุ้นที่ปริมาณซื้อขาย (Volume) หนาแน่น แสดงถึงการได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก
และที่สำคัญ คือ ต้องเป็นหุ้นที่มีจำนวนจำกัดด้วย โดยดูได้จากสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือ Free Float ที่ต่ำ
- L แทน Leader or Laggard
หมายถึง บริษัทนั้นต้องเป็นผู้นำในธุรกิจที่ตัวเองทำ มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1
ซึ่งเป็นการสะท้อนถึง ความแข็งแกร่งกว่าบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
หรือเราอาจจะประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์ทางเทคนิค กล่าวคือ ช่วงที่ตลาดหุ้นปรับลดลง หุ้นนั้นก็ควรต้องปรับตัวลงน้อยกว่าตลาด
สะท้อนว่ามีความต้องการซื้อ มากกว่าความต้องการขายในหุ้นตัวนั้น ๆ
ถ้าตลาดพลิกกลับมาเป็นขาขึ้น หุ้นจะแสดงถึงความแข็งแกร่งโดยเป็นตัวนำตลาด ได้ไม่ยาก
- I แทน Institutional Sponsorship
หมายถึง หุ้นที่ถูกนักลงทุนสถาบัน กองทุนรวม ธนาคาร เข้าไปถือครอง เป็นตัวสะท้อนความแข็งแกร่งทางธุรกิจ
และยังเป็นหนึ่งในสัญญาณที่อาจบอกได้ว่า หุ้นตัวนั้น ๆ มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจระยะยาว รวมถึงมีทีมผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ และการกำกับดูแลกิจการที่ดี
- M แทน Market Direction
หมายถึง การซื้อหุ้นในจังหวะที่หุ้นเป็นขาขึ้น
โดยพิจารณาจากแนวโน้มกราฟแท่งเทียนและเส้นค่าเฉลี่ยของตลาดในช่วงนั้น ๆ
เพราะหลายครั้งต่อให้หุ้นดีแคไหน แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ก็ยากที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดี
โดย O'Neil แสดงความคิดเห็นว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ "ทิศทางตลาด"
เพราะไม่ว่าหุ้นจะดีแค่ไหน ถ้าตลาดในภาพรวมเป็นขาลง หุ้นก็มักจะปรับตัวลงตามไปด้วยเช่นกัน
ในทางกลับกัน มันก็เป็นโอกาสในการเลือกหุ้นที่น่าสนใจ และราคาไม่แพงด้วยเหมือนกัน
เป็นโอกาสและความเสี่ยง ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามครับ