ตลาดหุ้นเป็นตลาดของความเชื่อมั่น ความมั่นใจและการมองอนาคต
ในบางช่วงเวลาผู้คนในตลาดหุ้นขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงถึงเวลานั้นปัจจัยพื้นฐานหุ้นจะเป็นรอง fund out flow จะเป็นตัวหลัก
คำว่า outflow ในที่นี้อาจหมายถึงกระแสเงินไหลออกของนักลงทุนต่างชาติ สถาบันและรายย่อย แปลง่ายๆว่าฝั่งขายมีมากกว่าฝั่งซื้อ ตอนนั้นราคาหุ้นอาจจะปรับตัวลดลงได้แบบเหลือเชื่อ ข่าวสารส่วนใหญ่ที่ออกมา จะถูกตีความในเชิงลบเกือบทั้งหมด
ราคาที่ปรับตัวลดลงมากๆ จะยิ่ง trigger ให้คนที่ไม่คิดจะขายเกิดความรู้สึกเชิงลบจนกระทั่งต้องยอมขายทั้งๆที่บาดเจ็บในระดับตัดนิ้วตัดแขน ลองนึกถึงช่วงวิกฤตโควิดเดือนมีนาคม 2563
กระแสเงินมักจะวิ่งไปไหน?...ส่วนใหญ่จะวิ่งไปในตลาดที่มี performance ดีกว่าเพื่อน ในช่วงเวลาก่อนหน้า มุมมองของ EPS growth การเติบโตของกำไรก็จะยังดูดีมีโมเมนตัมขาบวกขึ้นต่อ เลยเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว..ขึ้นอยู่..ขึ้นต่อ
ส่วนตลาดที่ขาดความเชื่อมั่น นักวิเคราะห์จะไม่กล้าให้การเติบโตสูงมาก หรืออาจจะกดต่ำเลยด้วยซ้ำ ก็จะซึมๆหรือ ซึมแล้ว..ซึมอยู่..ซึมต่อ
ในช่วงเวลาแบบนี้ผมคิดว่านักลงทุนที่มีเงินสดคือผู้ได้เปรียบสูงสุด รองลงมาคือนักลงทุนที่มีกระแสรายรับเป็นบวก ถ้าเป็นนักลงทุนที่เงินสดติดอยู่ในหุ้นเกือบทั้งหมดแล้วแบบนี้จะอึดอัด ต้องหมุนของข้างในเอาอย่างเดียว
เพราะการฟื้นตัว การกลับเทรนด์ มักจะเกิดขึ้น ต่อให้ประเทศนั้นเคยอยู่ในวิกฤตรุนแรงแค่ไหน ถ้าเศรษฐกิจประเทศนั้นกลับมาได้ ไม่ต้องโตไปไกลเอาแค่โตเท่าก่อนวิกฤต
ตลาดหุ้นก็จะกลับมาได้เช่นกัน
มันจะเกิดขึ้นครับเพียงแต่เมื่อไหร่เท่านั้นเอง