ปี 2566 ผ่านไป ปี 2567 เป็นปีใหม่และมีเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ
เรามาดูกันว่า ในปี 2567 มีประเด็นอะไรที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญบ้าง
ประเด็นแรก : การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
เรื่องใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ซึ่งจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 โดยชาวสหรัฐที่มีสิทธิเลือกตั้งจะเข้าคูหาเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีเพื่อดำรงตำแหน่งไปอีก 4 ปี ซึ่งผลลัพธ์ของการเลือกตั้งครั้งนี้จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ
โดยการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันกันระหว่าง นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต
และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน
สื่อต่างชาติคาดกันว่า หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ เขาจะเป็นประธานาธิบดีคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสองสมัยแบบไม่ติดต่อกัน ถัดจากประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ เมื่อปี 2440
สื่อรายงานว่า นายโจ ไบเดน มีความนิยมที่สูงกว่าและยังคงได้รับคะแนนสนับสนุนมากที่สุด เพราะในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของสหรัฐยังไม่มีประธานาธิบดีคนปัจจุบันคนใดที่เคยเสนอชื่อตนเองซ้ำแล้วพรรคไม่เลือก
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนในวอลสตรีท คาดกันว่า หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าไบเดนได้เป็น ตลาดหุ้นน่าจะซบเซาในช่วงแรก จนกว่าประเด็นเรื่องภาษีและนโยบายสาธารณะอื่น ๆ จะชัดเจนกว่านี้
ประเด็นที่สอง : ทิศทางดอกเบี้ยของ FED
นักลงทุนคาดกันว่า FED น่าจะมีการลดดอกเบี้ย
ซึ่งถ้าไม่เป็นไปอย่างที่คาด ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวลง ได้รับผลกระทบในวงกว้างจนถึงขั้นซบเซาได้เหมือนกัน
ในปี 2565 FED ได้เริ่มปรับขึ้นนโยบายดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก เพื่อชะลอความร้อนแรงของเงินเฟ้อ จนมาถึงปี 2566 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้ในปี 2567 นักลงทุนจะต้องจับตาตัวเลขดอกเบี้ยกันอย่างใกล้ชิด
FED ได้กำหนดตารางการประชุมไว้แล้ว
โดยมี 8 ครั้งด้วยกันตลอดทั้งปี ไล่ตั้งแต่มกราคม มีนาคม พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม กันยายน พฤศจิกายน ธันวาคม
ตอนนี้ Fed Watch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 79.4% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มี.ค. 2567 ที่จะถึงนี้
นอกจากประเด็นเรื่องดอกเบี้ย สิ่งที่ต้องติดตามต่อไป คือ ตัวเลขทางเศรษฐกิจ
และการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งจะช่วยส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับดอกเบี้ยในทางใดบ้าง
โดยจังหวะและระดับตัวเลขในการปรับดอกเบี้ยนั้นจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเงินเฟ้อ ข้อมูลจ้างงาน การใช้จ่ายของผู้บริโภค และข้อมูลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
และหาก FED ส่งสัญญาณผ่อนคลาย ตลาดก็น่าจะมีความกังวลลดลง และดันมูลค่าสินทรัพย์เสี่ยงให้สูงขึ้นด้วย
ประเด็นที่สาม : ราคาพลังงานโลก
ในปี 2566 สิ่งที่มีบทบาทต่อราคาพลังงานและราคาน้ำมันดิบมากที่สุด น่าจะเป็นเรื่องของ
การลดกำลังผลิตโดยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส
ซึ่งผลิตน้ำมันมากถึง 40% ของทั้งโลก
นับจนถึงขณะนี้ กลุ่มโอเปกพลัสได้ตัดสินใจขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 3.66 ล้านบาร์เรล/วัน หรือราว 5% ของความต้องการน้ำมันทั่วโลก ไปจนถึงปลายปี 2567
นอกจากนี้ ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบียเป็นได้ตกลงที่จะขยายเวลาการปรับลดการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ 1 ล้านบาร์เรล/วัน
ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนก.ค. ไปจนถึงสิ้นไตรมาส 1/2567
ขณะที่รัสเซียกล่าวว่า จะลดอุปทานน้ำมันดิบ 300,000 บาร์เรล/วัน และลดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 200,000 บาร์เรล/วันในช่วงเวลาเดียวกัน
ในปี 2567 บทวิเคราะห์ของสถาบันเศรษฐกิจหลายแห่งมีความเห็นตรงกันว่า
ความต้องการน้ำมันดิบที่น้อยกว่าคาดจากจีน และการผลิตที่ลดลง จะเป็นปัจจัยชี้ชะตาตลาดน้ำมันในปีหน้า
โดยราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะลง เนื่องจากมีซัพพลายค่อนข้างมาก และกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง
พูดง่ายๆ คือ ทิศทางของราคาน้ำมัน ไม่สดใสเท่าไรนัก และอาจถึงขั้นหดตัวด้วย
จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่า ราคาน้ำมันในปี 2567 จะมีแนวโน้มขาลงมากกว่าขาขึ้น
ประเด็นที่สี่ : ผลประกอบการองค์กรใหญ่
ก็เหมือนกับตลาดหุ้นไทย ที่นักลงทุนมักจะให้ความสำคัญกับผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ ทางฝั่งอเมริกาก็เหมือนกัน
โดย ผลประกอบการของบริษัทที่ถูกจับตาเป็นพิเศษนั้นมีทั้งหุ้นบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่ม FAANG อย่างแอปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ อะเมซอน อัลฟาเบต เมตา ไปจนถึงหุ้นเน็ตฟลิกซ์
ทั้งยังมีหุ้นธนาคารรายใหญ่ ๆ ที่ควรจับตาอย่างเจพีมอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เวลล์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป
ประเด็นที่ห้า : เหตุการณ์ทางการเมืองจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอินเดีย
นอกจากประเด็นการเลือกตั้งของอเมริกาแล้ว
ปี 2567 ก็เป็นปีที่อินเดียจะจัดการเลือกตั้งเช่นกัน โดยสื่อคาดว่า นายนเรนทรา โมดี นายกคนปัจจุบันของอินเดีย น่าจะได้รับการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งต่อ
ปัจจุบันอินเดียกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีนไปแล้ว
นอกจากนี้ IMF ยังคาดการณ์ว่าอินเดียจะเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่เติบโตเร็วที่สุดในปีนี้และปีหน้าด้วย
จบจากอินเดีย ยังมีความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อกันต่อไป
ความไม่ลงรอยกันระหว่างจีนและไต้หวัน และความไม่สงบในตะวันออกกลาง ก็เป็นเรื่องที่ยังคงต้องติดตามกันต่อไป เพราะสถานการณ์เหล่านี้ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลและตลาดผันผวนได้ตลอดเวลา
นี้เป็น 5 ประเด็นที่นักลงทุนต้องติดตาม
และเชื่อกันว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวตลาดหุ้นอย่างมาก
โดยเฉพาะช่วงปลายปี จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
โดยวอลสตรีทมองว่า ถ้าทรัมป์ได้เป็น ตลาดหุ้นน่าจะขึ้น
ถ้าไบเดน ได้เป็นต่ออีกสมัย ตลาดหุ้นน่าจะลง ...