เข้าสู่ช่วงปลายปี คนทำงานกินเงินเดือน ฟรีแลนซ์ รวมถึงนักธุรกิจ ที่มีรายได้และมีหน้าที่ต้องจ่ายภาษี ต่างก็กำลังมองหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีกันอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่า การออมการลงทุนที่ลดหย่อนภาษีได้ เช่น ประกันชีวิต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีอยู่แล้ว
แต่สำหรับปีนี้ข่าว “กองทุนลดหย่อนภาษี” จะเริ่มกลับมาสู่ความสนใจของทุกคนอีกครั้ง เพราะนอกจากกองทุนเดิมที่เรารู้จักกันดี อย่าง กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลื้ยงชีพ (RMF) ปีนี้ จะมีกองทุนใหม่ถอดด้าม ที่สามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ และเป็นวงเงินใหม่ ซึ่งจะไม่นับวงเงินการลงทุนรวมกับ SSF และ RMF ที่มีอยู่แล้วด้วย
เรากำลังพูดถึงกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) หรือ TESG โดยมีไทม์ไลน์ ดังนี้
- ต้นเดือนพฤศจิกายน : กระทรวงการคลังและสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเห็นชอบร่วมกันในการจัดตั้งกองทุน TESG เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว มีเป้าหมายการลงทุนในหุ้นที่เป็น ESG รวมทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ด้วย เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อีกทั้ง ประชาชนยังได้รับประโยชน์จากการลงทุนในกองทุน TESG เพื่อรับการลดหย่อนภาษีอีกด้วย
- ภายในวันที่ 17 พ.ย. 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะออกหลักเกณฑ์เรื่องกองทุน TESG ให้กับกระทรวงการคลัง
- วันที่ 21 พ.ย. 2566 : คาดว่า กระทรวงการคลังมีแผนเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อจัดตั้งกองทุน TESG เพื่อวัตถุประสงค์การออมในระยะยาวในตลาดทุนไทยและสามารถใช้ลดหย่อนภาษี
ทั้งนี้ คาดหมายว่า จะให้เริ่มซื้อกองทุนได้ตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.2566 เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถนำยอดการลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้เลยภายในปีภาษีนี้ (ซึ่งสามารถใช้ยื่นภาษีในรอบเดือน มี.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ได้เลย)
หลักเกณฑ์กองทุน TESG คาดว่าจะเป็นดังนี้
ดังนั้น ผู้ที่กำลังเตรียมพร้อมจะลงทุนกับกองทุนประหยัดภาษี โดยตั้งเป้าหมายว่าจะลงทุนให้เต็มสิทธิ ปีนี้จะได้ลงทุนเพิ่มเติม จากเดิมที่มี กองทุน SSF, กองทุน RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุน กบข., กองทุนการออมแห่งชาติ รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ปีนี้เราจะได้ลงทุนกองทุน TESG เพิ่มอีก 100,000 บาท รวมเป็น 600,000 บาท
ได้ทั้งออม ทั้งลงทุน และได้ลดหย่อนภาษีเพิ่มด้วย นับเป็นข่าวดีของนักลงทุนครับ