การมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลังหนึ่งคงจะเป็นความฝันที่ต้องไปให้ถึงของใครหลาย ๆ คน แล้วรู้หรือไม่ว่าการจะมีบ้านที่ตกแต่งดี ๆ สักหลังหนึ่ง เราจะเลือกบริษัทที่จำหน่ายวัสดุตกแต่งพื้นผิว เช่น กระเบื้องสำหรับปูพื้น และบุผนัง และสุขภัณฑ์แบบไหนดี ที่มีคุณภาพและคุ้มค่าต่อการใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งในวันนี้เราจะไปทำความรู้จักบริษัทนั้นกัน
บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เป็นบริษัทแกนหลักของกลุ่ม บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ซึ่งประกอบธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียนโดยมีวิสัยทัศน์ “เป็นผู้นำในธุรกิจตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์ ที่สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างสรรค์พื้นที่แห่งความสุข ด้วยนวัตกรรมที่ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”
ล่าสุด SCGD กำลังเดินหน้าปรับโครงสร้างโดยการแลกหุ้นกับ บมจ. เอสซีจี เซรามิกส์ หรือ COTTO และเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน COTTO พร้อมกับเตรียมเสนอขายหุ้น IPO โดย SCGD เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพและเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างดี
หากจะไปทำความรู้จักว่า SCGD ทำธุรกิจอะไรบ้าง ปัจจุบัน SCGD มี 2 ธุรกิจหลัก ดังนี้
1.ธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces)
ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นโดยมีคุณสมบัติแข็งแรงทนทานและรองรับน้ำหนักได้ดี และกระเบื้องบุผนัง สำหรับใช้งานบุผนังภายในอาคาร ที่มีน้ำหนักเบา โดยมีฐานการผลิตในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ภายใต้
แบรนด์ต่างๆ เช่น COTTO, SOSUCO, CAMPANA, PRIME, MARIWASA, KIA เป็นต้น และส่งออกกว่า 53 ประเทศ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น กาวซีเมนต์ กาวยาแนว เป็นต้น
2.ธุรกิจสุขภัณฑ์ (Bathroom)
ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำและอุปกรณ์ห้องน้ำ เช่น อ่างล้างหน้า, อ่างอาบน้ำ, ฝักบัว ภายใต้แบรนด์ COTTO และ SOSUCO เป็นต้น โดยส่งออกไปกว่า 29 ประเทศ และรับจ้างผลิต (OEM) สำหรับบริษัทในกลุ่มเพื่อนำสินค้าไปจำหน่ายในประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ภายใต้แบรนด์ COTTO, MARIWASA, KIA เป็นต้น

SCGD ได้นำประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์มายาวนานกว่า 40 ปี มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการของผู้คน โดย SCGD มีจุดเด่น ดังนี้
1) เป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน
SCGD มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในปี 2564 สำหรับผลิตภัณฑ์กระเบื้องเซรามิกในประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 33.0 ร้อยละ 26.4 ร้อยละ 16.8 ตามลำดับ และมีศักยภาพเติบโตจากการทำตลาดผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้นผิวในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงมียอดขายผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 32.8
2) เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและได้รับการยอมรับทั่วภูมิภาค ทุกกลุ่มลูกค้า
โดยมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งอยู่ในใจของลูกค้าในอันดับต้น ๆ การันตีคุณภาพจากรางวัลที่ได้รับ เช่น รางวัล National Quality Silver Award (ในปี 2558-2561 และ ปี 2562-2564 โดย Prime Minister of the Socialist Republic of Vietnam), รางวัล Recognition of Mastery in Quality Management (2 ปี ติดต่อกันโดย The Philippine Quality Award (PQA) โดยเป็นผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกภายในประเทศรายแรกและรายเดียวที่ได้รับรางวัลดังกล่าว), รางวัล Top Brand Top Social Media award 2023 for Keramik Lantai, รางวัล Thailand’s Most Admired Brand (12 ปี ติดต่อกัน โดย Brand Age) รางวัล No.1 Brand Thailand (5 ปีติดต่อกัน โดย Marketeer) เป็นต้น
3) มีทีมออกแบบและทีมพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
SCGD มีทีม R&D กว่า 250 คนที่เชี่ยวชาญการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้า HVA ให้ตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงได้ร่วมมือกับผู้จัดหาวัตถุดิบ มหาวิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละประเทศ เช่น สุขภัณฑ์แบบครบวงจรและก๊อกน้ำอัตโนมัติ ฯลฯ และผลงานที่ใช้นวัตกรรมสร้างสรรค์อื่น ๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในความแข็งแกร่งของบริษัท ที่มีผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถขายในราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปในอุตสาหกรรม เช่น Hygienic Tile กระเบื้องยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย, Anti-Slip Tile กระเบื้องกันลื่น, กระเบื้องไวนิล LVT เป็นต้น
4) ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและหลากหลายด้วยกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
เช่น การนำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้ควบคุมกระบวนการผลิต ระบบบรรจุกล่องสำหรับผลิตภัณฑ์แบบอัตโนมัติ เครื่องยกกระเบื้องลงบนพาเลท เป็นต้น
5) เข้าถึงลูกค้าด้วยช่องทางจำหน่ายที่ทั่วถึงและครอบคลุมในระดับภูมิภาค
SCGD มีช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งช่องทางค้าปลีกดั้งเดิม ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านค้าปลีกของบริษัทฯ และตัวแทนจำหน่าย ในประเทศไทยกว่า 500 ราย และต่างประเทศกว่า 200 ราย รวมถึงส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ด้วยฐานการผลิตและเครือข่ายที่แข็งแกร่ง
6) เติบโตอย่างยั่งยืนผ่านผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัท ภิบาล
บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เช่น แผนดำเนินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon), นำพลังงานแสงอาทิตย์มาหมุนเวียนใช้ในโรงงาน, ติดตั้ง Solar Roof ที่โรงงานสุขภัณฑ์, เปลี่ยนรถยกสินค้าในกระบวนการผลิตมาเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าแทน, จัดการของเสียในการลดการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติ เป็นต้น
ปัจจุบัน SCGD มีผลประกอบการ ดังนี้
ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 24,378.6 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 25,937.4 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้จากการขาย 30,253.8 ล้านบาท
และงวด 6 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้จากการขาย 14,336.3 ล้านบาท
ล่าสุด SCGD เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 439.1 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 26.61% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุน ไปลงทุนและพัฒนาขยายธุรกิจ กำลังการผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ชำระคืนเงินกู้ และใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ รวมถึงการเข้าซื้อและควบรวมกิจการหากมีโอกาสในอนาคต
เรียกได้ว่าเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่ผู้บริโภคจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของแบรนด์วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ระดับชั้นนำของไทยที่ก้าวไกลในภูมิภาคอาเซียน…