ค่าเงินบาทเช้านี้ อ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 37 บาทจนได้
นับเป็นการอ่อนค่าที่สุดของปีนี้ และอ่อนค่ากว่าภูมิภาคมาก

คำถาม คือ เกิดอะไรขึ้นกับค่าเงินบาท ? 
หลายบทวิเคราะห์ มีมุมมองไปในทางเดียวกันว่าน่าจะเป็นเรื่องของเงินดิจิทัล 5.6 แสนล้านบาทที่จะแจกในปีหน้า
เพราะนักลงทุนต่างชาติรู้ว่า ยังไงภาครัฐต้องออกพันธบัตรชุดใหม่มา และให้ Yield สูงกว่า จึงเทขายพันธบัตรชุดนี้ แล้วนำเงินออกเพื่อรอซื้อชุดใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
การเทขายแล้วนำเงินกลับประเทศ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ให้เงินบาทอ่อนค่าอย่างมาก
ไม่ใช่แค่ตลาดพันธบัตรอย่างเดียว ตลาดหุ้นไทยเองก็โดนเทขายอย่างหนักด้วยเหมือนกัน
โดย 9 เดือนแรก นักลงทุนต่างชาติขายตราสารหนี้ออกไปแล้ว -1.43 แสนล้านบาท (YTD)
และขายหุ้นไทยไปแล้ว -1.57 แสนล้านบาท (YTD)

ในอีกมุมหนึ่ง การจะบอกว่าเพราะการแจกเงิน 5.6 แสนล้าน เป็นสาเหตุที่ทำให้โดนเทขายก็อาจจะด่วนสรุปเกินไป 
เพราะจริงๆแล้วขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
ปัจจัยแรก ดอกเบี้ยสหรัฐมีอัตราที่สูงกว่า อย่างปัจจุบัน FED Fund Rate อยู่ราวๆ 5.25-5.50
ในขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 2.5% 
พูดง่ายๆ คือ การนำเงินกลับประเทศ และซื้อพันธบัตรของสหรัฐจะได้ Yield ที่สูงกว่านั่นเอง
ปัจจัยที่สอง นักลงทุนคิดว่าราคาพันธบัตรของไทยจะลดลงในอนาคต 
เนื่องจาก Yield ที่สูงขึ้นเพราะความต้องการใช้เงินของภาครัฐมาแจกเงิน  5.6 แสนล้านบาทในปีหน้า
เมื่อรู้ว่าพันธบัตรจะราคาลดในอนาคต ก็ต้องรีบเทขายตอนนี้ เมื่อขายนำเงินกลับประเทศ ค่าเงินบาทก็อ่อนอย่างต่อเนื่อง

คำถามต่อมา คือ การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากๆ ส่งผลอย่างไรต่อประเทศไทย
ถ้าให้อธิบายสั้นๆ คือการนำเข้าสินค้าจะแพงมากๆ
และประเทศไทยนำเข้า น้ำมันค่อนข้างมาก ซึ่งน่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
อีกทั้งน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของกิจการหลายๆอย่างในประเทศไทย น่าจะส่งผลให้สินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่าง คึอ สินค้าเทคโนโลยี เช่น สมาร์ทโฟน เครื่องเล่นเกม อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ อย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ iPhone ที่มีราคาเริ่มต้นสูงถึง 41,900 บาท ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างมากด้วยเหมือนกัน

ประเด็นต่อมาที่ต้องคิดต่อไปคือ การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากๆแบบนี้ แบงก์ชาติอาจจะต้องมีการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อกดให้เงินบาทอ่อนค่าช้าลง หรือสร้างเสถียรภาพของค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนไปมากกว่านี้
แต่การขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ต้นทุนของธุรกิจต่างๆปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย

ทั้งนี้ การจะสรุปว่าค่าเงินบาทอ่อนค่ามากๆ "ไม่ส่งผลดี" ก็อาจจะเป็นการด่วนสรุปเกินไป
เพราะการที่เงินบาทอ่อน คนที่ได้ประโยชน์ คือ 
1. ธุรกิจส่งออก
2. ธุรกิจท่องเที่ยว
ดังนั้น ไตรมาส 4 ธุรกิจท่องเที่ยวน่าจะเป็นตัวหลักที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยไปต่อได้

อย่างไรก็ตาม สำนักวิจัยหลายแห่ง มองตรงกันว่า ไตรมาส 3 มักจะเป็นช่วงที่ FundFlow ไหลออกจากหุ้นไทยมากกว่าปกติ 
และจะกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วง ไตรมาส 4 เสมอ 
โดยสถิติที่ผ่านมาพบว่าต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยไตรมาส 4 เฉลี่ย 3.1 หมื่นล้านบาท
และตราสารหนี้ประมาณ 7.8 หมื่นล้านบาท
พูดง่ายๆ คือ นักลงทุนสามารถรอลุ้นได้ว่า ไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ นักลงทุนต่างชาติอาจจะกลับมา "ซื้อสุทธิ"
และผลักดันให้ดัชนี กลับมาเป็นบวกได้

ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยในสัดส่วนทีต่ำ 
อาจจะด้วยเรื่องของเศรษฐกิจไทยที่โตช้า
และปัญหาการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนในเรื่องของใครจะได้เป็นรัฐบาล
แต่เรื่องเหล่านี้ถูกแก้ไขแล้ว การเมืองชัดเจน รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะถึงนี้ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตได้
เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปี ต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทย และหุ้นไทยน่าจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ในไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ครับ