แต่ไหนแต่ไรมา มหาเศรษฐีทุกคนต้องมีพอร์ตหนึ่งคืออสังหาริมทรัพย์ 
เขาจะไม่เก็บเงินสด บางทีไม่มีเงินสด 
ถ้าเห็นโอกาส เช่น เจอที่ดินร้อนเงินขาย เจอที่ดินที่ต้องขายเพราะต้องแบ่งมรดก(ทั้งๆที่ราคาไม่ถูก)แต่ทำเลดี 
หรือเวลาที่เกิดวิกฤติ ทุกคนต้องการสภาพคล่อง จำเป็นต้องขายที่ดินออกมา จังหวะนี้เหมาะกับการลงทุนทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น "หุ้น ที่ดิน หรือทองคำ"

การลงทุน การค้าขาย การเก็งกำไร จังหวะนี้เหมาะที่สุด คือ "จังหวะที่ลดราคา"
แต่ในชีวิตจริง อย่างรุ่นอากง ท่านไม่มีประสบการณ์เรื่องที่ดินเลย ป๊าได้ถามอากงว่า ทำไมอากง "ไม่ย้ายถิ่นฐาน ไปอยู่แถบชายทะเล เข่น พัทยา ภูเก็ต" 
อากงบอกว่า เงินจะกินยังไม่พอ ลูกอีก 13 คน จะเอาอะไรมาส่งเสีย 
เเต่พอเริ่มมีกิจการ ลูกๆเริ่มโต ท่านก็ไม่เคยคิดจะสะสมที่ดินเลย เพราะไม่มีคนสอน ไม่มีประสบการณ์
แต่มีคนบางกลุ่ม เขาจะจ้องเก็บที่ดิน ทำเลยสวยๆ ทำเลหายาก 
หรือถ้าไม่มีเงินเก็บ เขาจะซื้อๆ ขายๆ เข้าวงการอสังหาริมทรัพย์ มองที่ดินเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่ซื้อขายได้

นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนตัวอย่างหนึ่ง 
อยู่ๆเพื่อนป๊าโทรมาชวนทานข้าว เลี้ยงฉลอง ว่าเขาได้ขายที่ดินแปลงหนึ่ง 
ตอนที่ซื้อมาตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 40 ตารางวาละ 250,000 บาท ป๊าเดาเอา 
และได้ขาย ไปตารางวาละ 3,000,000บาท ที่ดินรวมได้ทั้งหมด 2.5 ไร่ คือ 1,000 ตารางวา 
จากเงินลงทุน 250 ล้าน ระยะเวลา 22ปี ขายได้เงิน 3,000 ล้าน 
และระหว่างทาง ยังมีรายได้ ให้เช่าพื้นที่ทำเลค้าขาย มีรายได้ตลอดเวลา คือห่านทองคำ ออกไข่ทองคำให้เราทุกเดือนเลย และไม่ปวดหัวเหมือนหุ้น ที่มีขึ้นลงตลอด

Model นี้ต้องท่องจดจำไว 
อย่าคิดว่า เราจะไปมีปัญญาหรือ เราสามารถย่อส่วนในวงเงินของเราได้นะครับ ลองจำไว้สอนลูกหลาน เหมือนที่ป๊ากำลังเล่าให้ฟังด้วยครับ
-ที่ดินที่ให้เช่าทำการค้าได้?
-ที่ดินติดสวนสาธารณะ มองเห็นวิวสวนจะแพงที่สุด แพงกว่าริมทะเล ริมแม่น้ำ เพราะสวนสาธารณะอยู่กลางเมือง มีความต้องการสูง
-ที่ดินริมทะเล 
-ที่ดินริมแม่น้ำ
อย่าลืม Model นี้นะครับ เก็บไว้ในใจตลอดเวลาครับ