"เงินเดือนของเราคือรายจ่ายของบริษัท"
ถ้าเข้าใจประโยคนี้ ผมว่าเราจะหนาว
หนาวจนต้องเร่งพัฒนาตัวเองและตั้งอยู่บนความไม่ประมาท
เงินเดือนนั้นให้ความมั่นคง แต่ก็ทำให้หลายคนเฉื่อยชา
คนส่วนใหญ่หยุดพัฒนาความสามารถของตัวเองภายในไม่กี่ปี
ทั้งที่ความจริง เมื่อบริษัทจ่ายเงินเรา
สิ่งที่เขาคาดหวังก็คือ
"เราต้องทำรายได้ให้เขา มากกว่าที่เขาจ่ายเงินเดือนเรา"
มันไม่ใช่การเอาเปรียบ แต่มันคือความจริงของโลก
เพราะฉะนั้นใครที่ทำตัวเป็นซอฟท์แวร์เก่าๆ ไม่อัพเดทตัวเอง
ไม่นาน ก็ต้องถูกเลิกใช้ในที่สุด
และเพราะเงินเดือนนั้นให้ความมั่นคง
มันจึงยิ่งดับเบิ้ลความเสี่ยง
เพราะคนส่วนใหญ่ชอบคิดฝากชีวิตไว้กับบริษัท
เลยไม่หา "ทางเลือก" ที่จะเป็น "ทางรอด" เมื่อยามคับขัน
ตอนเหตุการณ์ปกติดี ก็คงไม่เป็นไรหรอกครับ
แต่ตอนที่เกิดวิกฤต คำถามก็คือ
"ถ้าเราเป็นเจ้าของ เราจะเลือกทำอะไร?"
คำตอบคงไม่พ้น "ลดค่าใช้จ่าย"
และเงินเดือนของเราก็คือหนึ่งค่าใช้จ่าย
ในชีวิตผม มีอยู่สองครั้งที่ผมถูกเลิกจ้าง ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
แต่เพราะบริษัทเกิดวิกฤต เลยต้องลดค่าใช้จ่าย
โชคยังดีที่ผมมีความสามารถหลากหลาย
และขุดบ่อไว้รอตั้งแต่ยังไม่หิวน้ำ มีรายได้หลายทาง
เลยรอดมาได้แบบหวุดหวิด
บางคนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับผม
จนป่านนี้ ผมไม่แน่ใจว่าชีวิตเขาลุกขึ้นได้หรือยัง
บริษัทไม่ผิดหรอกครับ เป็นใครก็ต้องทำแบบนั้น
แต่เราต่างหากที่จะเตรียมตัวอย่างไรไว้ก่อนดี?
จะง่อยๆ ทำอะไรไม่เป็นเลย ไม่มีความสามารถพิเศษ
หรือจะรีบพัฒนาทักษะต่างๆ ไปเรียนภาษาเพิ่ม
เรียนพูด เรียนเขียน นู่นนั่นนี่
จะมีรายได้ทางเดียวคือเงินเดือน
หรือจะลงทุน จะหางานพิเศษทำวันหยุดหรือหลังเลิกงาน
ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น
ความมั่นคงไม่ใช่อยู่ที่บริษัทที่เราสังกัด
แต่ความมั่นคงอยู่ที่ตัวเรา
เมื่อวันที่บริษัทเกิดวิกฤต
เราและครอบครัวต้องไม่วิกฤตตามไปด้วย
ซึ่งแก้ไขได้ด้วย
"การพัฒนาความสามารถตัวเอง" และ "มีรายได้หลายทาง"
"เงินเดือนของเราคือรายจ่ายของบริษัท"
ต่อให้อากาศร้อนๆ แบบนี้
แต่ถ้าใครมัวชะล่าใจ ระวังจะหนาวนะครับ