#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

โอกาสในการร่วมลงทุนกับ KCG เจ้าแห่งผลิตภัณฑ์เนย ชีส และบิสกิตของไทย

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
2,960 views

ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือกำลังหยุดนิ่งอยู่กับที่ นักลงทุนหลายคนอาจหวั่นใจว่าการลงทุนแบบไหนถึงจะให้ผลตอบแทนที่ดี เมื่อมองลึกลงไปในเรื่องของการดำเนินชีวิต หนึ่งในปัจจัยสี่อย่างอาหาร คือสิ่งที่ทุกคนต้องบริโภคทุก ๆ วัน รวมไปถึงเทรนด์การใช้ชีวิตหลังผ่านช่วงระบาดของ Covid-19 ทำให้อาหารเพื่อสุขภาพเข้ามามีบทบาทกับผู้บริโภคมากขึ้น ดังนั้น หากบอกว่าการลงทุนในธุรกิจอาหารท่ามกลางช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ ก็อาจเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

 

สำหรับธุรกิจอาหารอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ที่กำลังเข้าสู่ช่วง IPO อีกหนึ่งธุรกิจก็คือ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ที่เป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนย-ชีส ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์บิสกิต ภายใต้แบรนด์ที่หลายคนคุ้นเคย เช่น คุกกี้อิมพีเรียล เนยแท้อลาวรี่ และน้ำผลไม้เข้มข้นซันควิก  

KCG ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและขนมตะวันตก (Western foods) โดยครอบคลุมตั้งแต่การคิดสูตร หาวัตถุดิบ ผลิตและส่งออกทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนำเข้าสินค้าชั้นนำจากต่างประเทศเข้ามาขายในไทย ซึ่งในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ KCG ผลิตและจัดจำหน่าย มี 3 กลุ่มหลัก คือ

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) คือ ผลิตภัณฑ์เนย (Butter) เนยแข็ง (Cheese) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่แปรรูปมาจากนม เช่น ครีมชีส นมเปรี้ยว นมพร้อมดื่ม

2 . กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ (Food and Bakery Ingredients) คือ ผลิตภัณฑ์อาหาร เช่นมายองเนส น้ำมันมะกอก ผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรี่ เช่น แป้งเค้ก ยีสต์ ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้เข้มข้น อุปกรณ์ในการทำเบเกอรี่และอุปกรณ์ประกอบอาหาร

3.  กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) คือ ผลิตภัณฑ์คุกกี้ ผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ และผลิตภัณฑ์เวเฟอร์

ความโดดเด่นของ KCG อยู่ที่การดำเนินกิจการที่เติบโตได้ดี แม้จะเจอกับวิกฤติต่าง ๆ ซึ่งหากพิจารณาจากความนิยมของผู้บริโภคจะเห็นว่า สินค้าประเภทชีสและเนยได้รับความนิยมตั้งแต่ก่อนช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงปี 2560-2562 โดยสินค้าประเภทชีสและเนยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 7.0% และ 5.5% ตามลำดับ และถึงแม้ในปี 2563 จะมีการบริโภคลดลง เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่ในปี 2564 ทั้งสินค้าประเภทชีสและเนยก็ฟื้นตัวกลับมาได้ และมีอัตราการเติบโตปีต่อปีอยู่ที่ 6.7% และ 8.0% ตามลำดับ นอกจากนี้ ตามข้อมูลของ Euromonitor มีการคาดการณ์ว่า สินค้าประเภทเนยและชีสจะมีการเติบโตขึ้นไปอีก โดยมี CAGR อยู่ที่ 7.0%-7.4% ระหว่างปี 2565-2569 ซึ่งส่งผลให้ KCG ได้รับประโยชน์จากความนิยมนี้ตามไปด้วย

 

เมื่อดูจากรายได้รวมและกำไรสุทธิต่อปีของ KCG ถือว่ามีความแข็งแกร่งในการดำเนินงาน

ปี 2563 รายได้รวม 4,950.0 ล้านบาท กำไรสุทธิ 244.2 ล้านบาท

ปี 2564 รายได้รวม 5,265.0 ล้านบาท กำไรสุทธิ 303.4 ล้านบาท

ปี 2565 รายได้รวม 6,232.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 241.1 ล้านบาท

งวดสามเดือน ปี 2566 รายได้รวม 1,723.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 58.4 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ หากจำแนกตามประเภทผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ปี 2563-2565 และงวดสามเดือน ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมสูงที่สุด คิดเป็นประมาณ 57.7%– 60.3%  รองมาคือจากการขายผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ ประมาณ 26.4% – 30.3% และลำดับสุดท้ายคือจากการขายบิสกิต ประมาณ 10.3% – 13.2% ของรายได้รวม

สำหรับเป้าหมายการเติบโตในอนาคต KCG ได้วางกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจไว้ 4 ข้อหลัก ดังนี้ 

1. ขยายกำลังการผลิต 

- การปรับผังโรงงานเพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างเต็มที่

- ขยายฐานการผลิตชีสให้สูงขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของตลาด

- เคลื่อนย้ายและขยายฐานผลิตเนยเพื่อให้เกิดความคล่องตัว ประหยัดต้นทุนและเพิ่มกำลังการผลิตให้สูงขึ้น

- พัฒนากระบวนการและเทคโนโลยีการผลิต โดยนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง

2. พัฒนาผลิตภัณฑ์และความสามารถทางด้านนวัตกรรม 

- พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ

- เป็นผู้นำในการนำเสนอสินค้ารูปแบบใหม่ๆ ในตลาด โดยต่อยอดจากสินค้าเดิมที่มีอยู่แล้ว

3. เพิ่มความแข็งแกร่งและความครอบคลุมในช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า

- ขยายการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ครอบคลุมไปยังแพลตฟอร์มต่างๆ 

- สร้างพันธมิตรทางการค้ากับร้านจำหน่ายวัตถุดิบและอุปกรณ์สำหรับการทำอาหาร หรือร้านเบเกอรี่

- เพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ

4. หาโอกาสในการขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ

- ขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศผ่านการร่วมทุน หรือการควบรวมกิจการในอนาคต

- หาโอกาสในการลงทุนธุรกิจต้นน้ำ เช่น ผู้ผลิตวัตถุดิบในการผลิตเพื่อสร้างกำไรจากการลดต้นทุนการผลิต

 

จากภาพรวมธุรกิจ ทั้งกลยุทธ์ที่จะเป็นตัวกำหนดเส้นทางของบริษัทฯ และผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เป็นเครื่องการันตีได้ว่า KCG ไม่ได้มีดีเพียงแค่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย แต่ยังมีแบรนด์อันแข็งแกร่งและเป็นที่คุ้นหู และในแง่ของการบริหารจัดการ และการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคอยู่เสมอก็สามารถทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม จึงอาจกล่าวได้ว่า  KCG เป็นอีกหนึ่งบริษัทอาหารสัญชาติไทยที่น่าจับตามองเลยทีเดียว  

 

Reference

https://www.peerpower.co.th/blog/investment-trend-food-energy
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=491854 


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง