ปี 2566 ถึงวันนี้...นับว่า ตลาดหุ้นไทย มีความผันผวนสูงเหลือเกิน
ทั้งที่ช่วงปลายปี 2565 ทุกอย่างยังดูดี มาถึงต้นปีนี้ เราได้สุดยอดแรงส่งจาก
- กระแสเงินลงทุน Net Buy ของต่างชาติ
- การเปิดประเทศจีน พร้อมกับคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เติบโตแรง และ
- ความหวังกับการเลือกตั้งใหญ่ในเดือนพฤษภาคม
เวลาผ่านไปเพียง 5 เดือน ทุกอย่างดูกลับตาลปัตร
- ต่างชาติ Net Sell หุ้นไทยอย่างหนักมือเกินแสนล้านบาท
- จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ
- การเลือกตั้งที่ไม่มีทั้ง Pre หรือ Post Election Rally ภาพรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งยังคงคลุมเครือ และหลายสำนักยังคงเชื่อว่าจะคลุมเครือไปอย่างน้อยถึงปลายเดือนกรกฎาคม
- ไหนจะยังมีปัจจัยลบจากต่างประเทศ เช่น ปัญหา Debt Ceiling เพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกา การขึ้นดอกเบี้ยของ FED อัตราการว่างงาน ที่ยังเป็นข่าวกดดันการลงทุนทั่วโลก
ในภาวะตลาดหุ้นไทยที่ sideway down และซึมออกข้างนานอีกอย่างน้อย 2 เดือน แบบนี้ ผมมีแผนส่วนตัว 3 เรื่อง ที่ตั้งใจว่าจะทำในยามตลาดผันผวน และคาดเดาได้ยาก ดังนี้
หนึ่ง... ลดการมองปัจจัยจากตลาดต่างประเทศแบบลงรายละเอียด
การลงรายละเอียดกับปัจจัยที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมากเกินไป จะพาให้ปวดหัว และไม่กล้าขยับตัวอะไรเลยครับ เช่น ตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิต ภาคบริการ , ดัชนีราคาผู้บริโภคCPI, ยอดขายบ้านมือหนึ่งมือสอง, ยอดขายรถมือหนึ่งมือสอง, ตัวเลขผู้รับสวัสดิการว่างงาน ฯลฯ ข้อมูลมีมากเกินไปจนล้นเกิน บางครั้งใช้ประโยชน์กับการวิเคราะห์กิจการไทยรายตัวไม่ได้ แถมกูรูสายดาร์คยังจะขู่ Recession 2023 แทบจะตลอดเวลา ข่าวร้ายขายง่ายกว่าข่าวดีเสมอ
ด้วยความที่เราเองก็ไม่ได้ลึกซึ้งกับเศรษฐศาสตร์มหภาค และเป็นตัวแปรที่อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อหุ้นไทยรายตัวที่เราถืออยู่ อีกทั้งคิดว่าไม่น่าจะทำให้ตลาดพังลงแรงๆได้ในระดับโควิด หรือวิกฤติการณ์การเงิน การติดตามดูข้อมูลการเคลื่อนไหวของดัชนี DJ, S&P500 และ Nasdaq น่าจะเพียงพอ และให้มุมมองฉันทามติของนักลงทุนทั่วโลกได้ในระดับหนึ่ง ที่เหลือตามข้อมูลการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ปัจจัยเดียว ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ
สอง...เพิ่มคุณภาพการติดตามกิจการ(หุ้นรายตัว)แบบเจาะลึก
เพราะเราลงทุนในหุ้น (กิจการ) ไม่ใช่ลงทุนใน SET ดังนั้นการติดตามปัจจัยพื้นฐานของกิจการที่เราลงทุนแบบลงรายละเอียดจึงเป็นเรื่องจำเป็น เช่น งบการเงินและ MD&A รายไตรมาส ต้องติดตามอ่านดู , บทวิเคราะห์ที่มีนักวิเคราะห์ออกรายงานไว้ ควรเข้าไปอ่านเพื่อสำรวจความเห็น และปรับจูนความเข้าใจของเรา , ถ้ากิจการมาออก Opportunity Day ก็ควรต้องดู และถ้าสงสัยอะไรก็ควรยิงคำถามสดเข้าไปเลย และ ไม่ควรพลาดการทำ Scuttlebutt จากการลงพื้นที่ ลองซื้อ ลองใช้สินค้าและบริการจากตัวสินค้าจริงด้วย
สาม...เพิ่มรายชื่อหุ้นที่เราสนใจเพิ่มเติม ทั้งในแง่ จำนวนหุ้น และ กลุ่มหุ้น
การที่จะเป็นนักลงทุนยืนหยัดในตลาดได้นานๆ ต้องมี Universe ของหุ้นที่เราสนใจใหญ่พอประมาณ เพราะหลายครั้งโอกาสซื้อจะมีเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในหุ้นบางตัว หรือบางกลุ่ม เท่านั้น ดังนั้นถ้าเรายังยึดติด รู้จักและเข้าใจหุ้นอยู่ไม่ถึง 10 ตัว ที่ลงทุนมานานจะทำให้เกิดความ Bias และเราอาจจะสร้างกำไรแบบเอาชนะตลาดแทบไม่ได้เลย
การคัดเลือกหุ้น Good Stock เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้นที่จะศึกษาลงลึกแต่ละเดือน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น หุ้นโรงพยาบาล หุ้นโรงไฟฟ้า หุ้นท่องเที่ยว หุ้นบริการ ฯลฯ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับหุ้นที่มี Market Cap อันดับ 1-2 ของกลุ่มเท่านั้น จำไว้ว่านับจากนี้ “Stock Selection” จะเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆของการลงทุนเสมอไม่ว่าภาวะตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
เรื่องอื่นๆ ก็ยังทำเป็น Routine เช่น การอ่านหนังสือการลงทุนทั้งไทยและจากต่างประเทศ การฟังคลิปการลงทุนจากนักวิเคราะห์ และผู้รู้ในแต่ละอุตสาหกรรมให้มากขึ้น รวมทั้งคอยหมั่นออกกำลังกาย ด้วยครับ