สิ่งหนึ่งที่ผมพบมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มรุ่นพี่ที่เริ่มเกษียณ
สมัยก่อน อาจจะเลือกอาชีพหลังเกษียณ ที่หลากหลาย บางคนไปทำสวนเกษตร บางคนเปิดร้านกาแฟ บางคนไปลงทุนทำหอพักอพาร์ทเม้นท์ บางคนเปิดร้านอาหาร ฯลฯ แต่ในยุค 3-5 ปีหลังมานี้ อาชีพหลังเกษียณ โดยเฉพาะของ white collar ที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นฟรีแลนซ์ขายความเชี่ยวชาญ กำลังเลือกที่จะเป็น “นักลงทุนเต็มเวลา” มากขึ้น
สาเหตุผมคิดว่ามาจากหลายประการ ตั้งแต่การทำธุรกิจในสมัยนี้ ยากกว่าสมัยก่อนมาก การเปิดร้านขายของชำ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ฯลฯ นอกจากต้องการเงินทุนเริ่มต้นที่สูงขึ้นแล้ว การแข่งขันสมัยนี้กลับสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก รายใหญ่ระดับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลงมาเล่นเอง ขยายสาขาไปมากมายทั่วทุกหัวระแหง
-> จะเปิดร้านกาแฟ...ก็เห็นร้านกาแฟอเมซอน พันธ์ไทย เปิดใกล้ๆ
-> จะเปิดหอพักอพาร์ทเม้นท์...ก็เห็นคอนโด 30 ชั้นค่าเช่าต่อเดือนแพงกว่าหอพักไม่มากเปิดอยู่ใกล้ๆแล้ว
-> จะเปิดร้านขายของชำ...ก็เห็นร้านสะดวกซื้อและไฮเปอร์มาร์ทขนาดเล็กเปิดอยู่ใกล้ๆรายล้อมไปหมด
การลงทุนเปิดกิจการเองเล็กๆ จึงมีความเสี่ยงที่จะปิดตัวลงมากกว่าสมัยก่อนมาก การลงทุนในตลาดหุ้น โดยเน้นเป้าหมายที่การถือหุ้นคุณภาพดี จำนวนหลายๆตัว เป็นพอร์ต เพื่อรับเงินปันผลทุกปีอย่างมั่นคง จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ
ทีนี้ นักลงทุนวัยเพิ่งเกษียณหลายท่าน ทั้งชีวิตอาจจะไม่เคยลงทุนในหุ้นเป็นตัวๆด้วยตัวเองมาก่อน แต่เคยลงทุนในกองทุน เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนประหยัดภาษี LTF SSF RMF เป็นต้น จริงอยู่แม้จะเคยมีประสบการณ์เคยเห็นเงินลงทุนขาดทุนติดลบ หรือกำไรเป็นกอบเป็นกำมาก่อน แต่นั่นก็ยังนับว่า “ไม่เคย” มีประสบการณ์ในการลงทุนหุ้นรายตัว ด้วยตนเอง ในฐานะ Full Time Investor มาก่อน
และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ นักลงทุนวัยเพิ่งเกษียณ ที่เพิ่งได้รับเงินเกษียณก้อนใหญ่จากที่ทำงานเป็นจำนวนหลายๆล้าน หรือบางคนอาจจะเกิน 10 ล้านบาท หลายท่านก็ตกใจเพราะทั้งชีวิตไม่เคยจับเงินก้อนที่เยอะขนาดนี้ ทำให้หลายท่านเลือกที่จะนำเงินที่ได้จากการเกษียณทั้งหมด เข้าลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อสร้างพอร์ตรวดเดียวในปีที่เกษียณเลย
กรณีที่ปีเกษียณ คือ ปีที่ซื้อหุ้นสร้างพอร์ต ด้วยเงินสดทั้งหมด คราวนี้ “ดวง” จะมีผลมาก ผมขอยกตัวอย่าง เจอพี่นักลงทุนวัย(เพิ่ง)เกษียณท่านนึง เขาเล่าว่า
-> โชคดีมาก ที่แกไม่ได้เกษียณปี 2562 ... เพราะถ้าเกษียณสิ้นปีนั้น แกคงจะเข้าหุ้นไทยเต็มที่ ต้นทุนแถวๆ 1650 จุด แล้วก็ไป เสียหายหนักตอน โควิด
-> โชคดีมาก ที่แกไม่ได้เกษียณปี 2563 ...เพราะถ้าเกษียณสิ้นปีนั้น โควิดปิดเมืองอย่างโหด แกคงจะกอดเงินสดไว้เฉยๆ ไม่กล้าทำอะไรเลย mindset ผิดฝังหัว กลัวตลาดหุ้นไปเลย
-> โชคดีมาก ที่แกไม่ได้เกษียณปี 2564... เพราะถ้าเกษียณสิ้นปีนั้น แกคงจะเข้าหุ้นเทคฯ กอง ARK หุ้นจีน หุ้นเวียดนาม เต็มที่ ที่ตอนนั้นต้นปี 64 ใครๆซื้อแล้วก็ได้กำไร แต่ปี 65 ลดราคาลงมาอย่างโหด ลบ 25-50%
-> และโชคดีมาก ที่แกเพิ่งจะเกษียณปี 2565... เพราะตอนสิ้นปี 65 ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานหนักมาแล้ว ต้นทุนน่าสนใจมาก ตลาดคริปโตก็แตกพ่ายไปเรียบร้อยแล้ว หุ้นเทคโนโลยี หุ้นอเมริกา หุ้นเวียดนาม หุ้นจีน ล้วนปรับตัวลดลง 20-35% ในรอบปี 65 หรือแม้แต่หุ้นไทยก็ยังไม่ฟื้นไปสู่จุดก่อนเกิดโควิดเลยด้วยซ้ำ ซึ่งที่สุดแล้วแกเลือกหุ้นไทย โดยเน้นตัวปันผลตามสไตล์ที่ต้องการ dividend cashflow
กรณีของพี่ท่านนี้ ถือว่าโชคดี ที่ได้เวลาตกฟากในตลาดหุ้นค่อนข้างได้เปรียบ หลบวิกฤตที่หลากหลายมาได้ แต่การที่ใช้เกณฑ์ปีเกษียณ คือ ปีที่ซื้อหุ้นสร้างพอร์ต แล้วซื้อด้วยเงินสดทั้งหมดที่มี ผมคิดว่าเป็นวิธีที่ผิด เพราะ
- การใช้เงินสดทั้งหมดเข้าซื้อ ทำให้เราไม่มีการแบ่งสัดส่วน Asset Allocation ว่าควรถือเงินสดกี่ % ควรถือหุ้นกี่ % เราจะคาดหวังว่าเดี๋ยวเงินสดก็จะไหลมาจากเงินปันผลเรื่อยๆไม่ได้ จำเป็นต้องมีเงินสดเก็บไว้ส่วนหนึ่งเสมอ เพื่อการใช้จ่ายเป็นเงินทุนสำรองฉุกเฉิน และเพื่อเก็บโอกาสในการซื้อถัวหากหุ้นเป้าหมายราคาตกลงมา
- การใช้เงินสดระดมเข้าซื้อหุ้น ควรเกิดจากการที่เราค้นพบหุ้นคุณภาพดี ที่ราคาดี(ต่ำกว่ามูลค่า)ด้วย ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่า ได้เงินสดก้อนใหญ่มาจากการเกษียณ เพราะหากเจอปีที่หุ้นแพง เงินลงทุนของเราจะติดหุ้นคุณภาพดี ที่ราคาสูง ซึ่งบางครั้ง รับเงินปันผลมา ยังไม่คุ้มขาดทุนครับ
#ไม่ควรเข้าซื้อหุ้นด้วยเงินสดทั้งหมดทันทีในปีที่เกษียณ
#ควรซื้อหุ้นคุณภาพดีที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าด้วย