#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน
#แนวคิดด้านการลงทุน

กลยุทธ์ “ซื้อ แล้ว ถือ” นี่คือยังดีอยู่ไหม ?

โดย อธิป กีรติพิชญ์
เผยแพร่:
1,632 views

กลยุทธ์การลงทุนที่เป็นที่นิยมในโลกการลงทุนมีด้วยกันหลายวิธี แต่ละวิธีขึ้นอยู่กับจริตและจังหวะชีวิตของนักลงทุนแต่ละคน ว่าคุณพร้อมที่จะเฝ้าติดตามการลงทุนแค่ไหน คุณอึดและอดทนต่อความผันผวนได้แค่ไหน คุณรอคอยได้นานเพียงใด คุณชอบกินคำใหญ่หรือคำเล็ก 
 

กลยุทธ์ลงทุนแบบ “ซื้อ แล้ว ถือ” (Buy and Hold Strategy) คือ การเข้าซื้อหุ้นดีที่ราคาไม่แพง Good Stock & Good Price แล้วถือให้นาน ถ้ารันเวย์การเติบโตมีอีกยาวนานเราไม่ต้องกะเก็งรอบ ในยุค 10 ปีก่อน จัดเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานในตลาดหุ้นไทย ใช้มากที่สุด เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ในการเลือกหุ้นพื้นฐานดี วัดมูลค่าหุ้นเป็น รอคอยเป็น และอึดถือหุ้นระยะยาวได้จริงๆ 
 

ข้อดี คือ 

  • เป็นวิธีบริหารพอร์ทให้เติบโตได้ดีที่สุดในระยะยาว หากวิเคราะห์หุ้นเติบโตได้ถูกตัวและเข้าซื้อที่ต้นทุนได้เปรียบในระยะยาวได้จริง นี่เป็นการกิน “คำใหญ่” 
  • ยิ่งถ้าทุ่มซื้อในช่วงที่คนส่วนใหญ่แตกตื่นเทขายหุ้น(Panic Sell) จะยิ่งให้ผลตอบแทนระยะยาวดียิ่งขึ้น  

ข้อเสีย คือ 

  • ต้องเลือกหุ้นให้ถูกต้อง ที่ราคามี Margin of Safety จริงๆ ไม่อย่างนั้นแล้วการซื้อแล้วถือยาวกับหุ้นพื้นฐานแย่ หรือหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาแพง จะนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมากได้เช่นกัน 
  • ต้องอดทนรอซื้อหุ้นพื้นฐานดี ที่ราคาถูกมากๆได้ เลือกลงมือในโอกาสที่ดีจริงเท่านั้น และอดทนไม่ขายให้ได้จนกว่าจะเต็มมูลค่า หรือพื้นฐานเปลี่ยน ซึ่งค่อนข้างฝืนความรู้สึก และต้องมีเงินเย็นจัดสรรมาลงทุนระยะยาวด้วย  


หลักการสำคัญของวิธีนี้คือ “เข้าลงทุนหุ้นดี ยังมีการเติบโต ต้นทุนได้เปรียบ ซื้อแล้วถือระยะยาว” 
 

คำว่าระยะยาวในที่นี้ แต่ละคนก็ตีความไม่เท่ากัน บางคนบอกว่าถือเกิน 1 ปีก็คือยาว ... บางคนบอกว่า 3 ปีคือยาว... บางคนบอกว่า 10 ปีถึงจะเรียกว่ายาว... หรือบางคนสุดโต่งบอกว่าต้องถือตลอดชีวิตถึงจะเรียกว่ายาวจริง ประเด็นนี้ต้องอภิปรายกันยาวครับ เพราะระยะเวลา “ยาว” ในการถือ มันไม่ควรกำหนดด้วยจำนวนเดือน จำนวนปี แบบตายตัวเพราะ 

  1. หุ้น(กิจการ)เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ กิจการมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากสภาพตลาด คู่แข่ง พฤติกรรมผู้บริโภค แรงกดดันจากภาครัฐ แรงกดดันจากต้นทุนการผลิต เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ฯลฯ 
  2. หุ้น(กิจการ)ไม่สามารถโต อย่างไม่สิ้นสุดได้ ไม่ว่ากิจการที่เติบโตดีมาอย่างไร ก็จะมีวันสิ้นสุดการโต อิ่มตัว และเริ่มถดถอย ด้วยโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนไว คู่แข่งใหม่ เทคโนโลยีดิสรัปชั่นเกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่อถึงจุดนั้น(ซึ่งอาจจะเร็ว ในปีเดียว หรือช้าเป็นสิบปีก็ได้) ตลาดจะให้ P/E หุ้นที่ไม่เติบโตแล้วลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ราคาหุ้นจะลดลงเช่นกัน


โดยสรุป กรณีตลาดหุ้นไทย ผมเชื่อว่าการเติบโตต่ำของ GDP ในประเทศไทยที่เป็นมาอย่างต่อเนื่อง และดัชนีไม่ไปไหนเป็นระยะเวลา 10 ปี (1600 จุด) ทำให้การ “ซื้อแล้วถือ” ทั้งดัชนี เช่น SET50 หรือการหว่านซื้อหุ้นตัวใหญ่(big cap)โดยไม่เลือกเฟ้น เป็นกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสม การลงทุนแบบซื้อแล้วถือ ในตลาดหุ้นไทยจำเป็นต้องมีการ selective buy อย่างเข้มข้น หรือเข้าซื้อและถือเฉพาะกรณีที่หุ้นมีราคาถูกอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อทำกำไรในเวลาที่ราคาหุ้นกลับฟื้นขึ้นไปสะท้อนพื้นฐานกิจการที่แท้จริง หรือ เพื่อรับปันผล Dividend Yield เกิน 4% อันนี้ยังทำได้อยู่  
 

กรณีตลาดหุ้นต่างประเทศที่กำลังเติบโต หรือในตัวหุ้นที่ยังมีรันเวย์ในการเติบโตระยะยาวเป็น 10 ปี ผมเชื่อว่า การ Buy and Hold เป็นกลยุทธ์ลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนระยะยาวได้ดีอยู่  ซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้อง Selective Buy ทั้งตลาดหุ้นและตัวหุ้นที่จะลงทุนครับ 


เจ้าของหนังสือ Best Seller “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” และยังเป็นวิทยากรคอร์ส “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานแบบ Value/Growth Investor” ด้วยประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 17 ปี และประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์ บวกกับความเป็นคนอารมณ์ขัน  ทำให้คุณนิ้วโป้งสามารถถ่ายทอดเรื่องยาก อย่างการลงทุน ให้เข้าใจได้ง่าย และยังใช้ภาษา ลีลาที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงทำให้ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ มากมาย

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง