กลยุทธ์การลงทุนที่เป็นที่นิยมในโลกการลงทุนมีด้วยกันหลายวิธี แต่ละวิธีขึ้นอยู่กับจริตและจังหวะชีวิตของนักลงทุนแต่ละคน ว่าคุณพร้อมที่จะเฝ้าติดตามการลงทุนแค่ไหน คุณอึดและอดทนต่อความผันผวนได้แค่ไหน คุณรอคอยได้นานเพียงใด คุณชอบกินคำใหญ่หรือคำเล็ก
กลยุทธ์ลงทุนแบบ “ซื้อ แล้ว ถือ” (Buy and Hold Strategy) คือ การเข้าซื้อหุ้นดีที่ราคาไม่แพง Good Stock & Good Price แล้วถือให้นาน ถ้ารันเวย์การเติบโตมีอีกยาวนานเราไม่ต้องกะเก็งรอบ ในยุค 10 ปีก่อน จัดเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานในตลาดหุ้นไทย ใช้มากที่สุด เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ในการเลือกหุ้นพื้นฐานดี วัดมูลค่าหุ้นเป็น รอคอยเป็น และอึดถือหุ้นระยะยาวได้จริงๆ
ข้อดี คือ
- เป็นวิธีบริหารพอร์ทให้เติบโตได้ดีที่สุดในระยะยาว หากวิเคราะห์หุ้นเติบโตได้ถูกตัวและเข้าซื้อที่ต้นทุนได้เปรียบในระยะยาวได้จริง นี่เป็นการกิน “คำใหญ่”
- ยิ่งถ้าทุ่มซื้อในช่วงที่คนส่วนใหญ่แตกตื่นเทขายหุ้น(Panic Sell) จะยิ่งให้ผลตอบแทนระยะยาวดียิ่งขึ้น
ข้อเสีย คือ
- ต้องเลือกหุ้นให้ถูกต้อง ที่ราคามี Margin of Safety จริงๆ ไม่อย่างนั้นแล้วการซื้อแล้วถือยาวกับหุ้นพื้นฐานแย่ หรือหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาแพง จะนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมากได้เช่นกัน
- ต้องอดทนรอซื้อหุ้นพื้นฐานดี ที่ราคาถูกมากๆได้ เลือกลงมือในโอกาสที่ดีจริงเท่านั้น และอดทนไม่ขายให้ได้จนกว่าจะเต็มมูลค่า หรือพื้นฐานเปลี่ยน ซึ่งค่อนข้างฝืนความรู้สึก และต้องมีเงินเย็นจัดสรรมาลงทุนระยะยาวด้วย
หลักการสำคัญของวิธีนี้คือ “เข้าลงทุนหุ้นดี ยังมีการเติบโต ต้นทุนได้เปรียบ ซื้อแล้วถือระยะยาว”
คำว่าระยะยาวในที่นี้ แต่ละคนก็ตีความไม่เท่ากัน บางคนบอกว่าถือเกิน 1 ปีก็คือยาว ... บางคนบอกว่า 3 ปีคือยาว... บางคนบอกว่า 10 ปีถึงจะเรียกว่ายาว... หรือบางคนสุดโต่งบอกว่าต้องถือตลอดชีวิตถึงจะเรียกว่ายาวจริง ประเด็นนี้ต้องอภิปรายกันยาวครับ เพราะระยะเวลา “ยาว” ในการถือ มันไม่ควรกำหนดด้วยจำนวนเดือน จำนวนปี แบบตายตัวเพราะ
- หุ้น(กิจการ)เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ กิจการมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากสภาพตลาด คู่แข่ง พฤติกรรมผู้บริโภค แรงกดดันจากภาครัฐ แรงกดดันจากต้นทุนการผลิต เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ฯลฯ
- หุ้น(กิจการ)ไม่สามารถโต อย่างไม่สิ้นสุดได้ ไม่ว่ากิจการที่เติบโตดีมาอย่างไร ก็จะมีวันสิ้นสุดการโต อิ่มตัว และเริ่มถดถอย ด้วยโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนไว คู่แข่งใหม่ เทคโนโลยีดิสรัปชั่นเกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่อถึงจุดนั้น(ซึ่งอาจจะเร็ว ในปีเดียว หรือช้าเป็นสิบปีก็ได้) ตลาดจะให้ P/E หุ้นที่ไม่เติบโตแล้วลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ราคาหุ้นจะลดลงเช่นกัน
โดยสรุป กรณีตลาดหุ้นไทย ผมเชื่อว่าการเติบโตต่ำของ GDP ในประเทศไทยที่เป็นมาอย่างต่อเนื่อง และดัชนีไม่ไปไหนเป็นระยะเวลา 10 ปี (1600 จุด) ทำให้การ “ซื้อแล้วถือ” ทั้งดัชนี เช่น SET50 หรือการหว่านซื้อหุ้นตัวใหญ่(big cap)โดยไม่เลือกเฟ้น เป็นกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสม การลงทุนแบบซื้อแล้วถือ ในตลาดหุ้นไทยจำเป็นต้องมีการ selective buy อย่างเข้มข้น หรือเข้าซื้อและถือเฉพาะกรณีที่หุ้นมีราคาถูกอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อทำกำไรในเวลาที่ราคาหุ้นกลับฟื้นขึ้นไปสะท้อนพื้นฐานกิจการที่แท้จริง หรือ เพื่อรับปันผล Dividend Yield เกิน 4% อันนี้ยังทำได้อยู่
กรณีตลาดหุ้นต่างประเทศที่กำลังเติบโต หรือในตัวหุ้นที่ยังมีรันเวย์ในการเติบโตระยะยาวเป็น 10 ปี ผมเชื่อว่า การ Buy and Hold เป็นกลยุทธ์ลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนระยะยาวได้ดีอยู่ ซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้อง Selective Buy ทั้งตลาดหุ้นและตัวหุ้นที่จะลงทุนครับ