#ลงทุนแนวเทคนิคอล
#แนวคิดด้านการลงทุน

เผยเคล็ดลับ “ทำไมเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ จึงต้องการ Leverage จาก TFEX”

โดย DaddyTrader
เผยแพร่:
1,685 views

เชื่อว่านักลงทุนหลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX ทั้ง ๆ ที่ก็เคยได้ยินมาว่าการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX นั้นมีความเสี่ยงสูง หรือเพราะการซื้อขายใน TFEX สร้างโอกาสที่ได้รับกำไรเร็ว ถึงแม้จะมีความเสี่ยงสูงก็จำเป็นต้องเข้ามาซื้อขายใน TFEX แต่ว่าการเพิ่มความเสี่ยงให้มากขึ้นเพื่อแลกกับผลตอบแทนที่มากขึ้น จะคุ้มค่าจริงหรือ แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เทรดเดอร์เหล่านั้นสามารถอยู่รอดในตลาดจากการซื้อขายตราสารที่มีความเสี่ยงสูง ๆ เหล่านั้น   

   

คำตอบก็ คือ เหตุผลที่เทรดเดอร์เหล่านั้นต้องเข้ามาซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX นั้น วัตถุประสงค์หลักไม่ใช่เรื่องของการพยายามทำกำไรได้มาก ๆ หรือรวดเร็ว แต่มีความ “จำเป็น”  ต้องซื้อขายใน TFEX เนื่องจากเหตุผลของการบริหารความเสี่ยงและบริหารเงินในการเทรด (Money Management) ซึ่งเหตุผลนี้เป็นเคล็ดลับ่ของเหล่าเทรดเดอร์ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน ในบทความนี้ผมจะมาเฉลยให้ได้รู้กันครับว่าการซื้อขายตราสารประเภทที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้เป็นตัวช่วยในการบริหารความเสี่ยงและเงินในการเทรดได้อย่างไร 

 

มารู้จัก Leverage กันก่อน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX นั้นมีความเสี่ยงสูงกว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ สาเหตุประการสำคัญที่สุดที่ทำให้คำพูดนี้เป็นจริงก็เพราะว่า การซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX มีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ คือ การที่ราคาของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่สามารถทำให้เกิดผลกำไรหรือขาดทุนได้หลายเท่าตัว (ที่หลายคนเรียกว่า Leverage)  

 

ซึ่ง Leverage ที่เกิดขึ้นมาจากการที่กลไกการซื้อขายของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX ใช้วิธีการวางหลักประกันการซื้อขายแทนการชำระเงินเต็มมูลค่าของสินค้าหรือสัญญาที่ทำการซื้อขายกัน ใครที่สามารถเข้าใจถึงวิธีการนำ Leverage ไปใช้งานได้อย่างถูกต้องก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการบริหารความเสี่ยงและเงินในการเทรด (Money Management) แต่หากซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX โดยที่ยังไม่มีความเข้าใจของผลกระทบจาก Leverage อาจส่งผลเสียหายร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน 

 

ยกตัวอย่างกลไกการซื้อขายใน TFEX ด้วยการวางหลักประกันเปรียบเทียบกับการซื้อขายหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น หากเราต้องการซื้อหุ้น PTT ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ราคา 35 บาท จำนวน 10,000 หุ้น เราก็จะต้องจ่ายเงินเต็มจำนวน 350,000 บาท (35 บาท คูณ 10,000 หุ้น) แต่ถ้าเราเทรดอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับราคาหุ้น PTT อย่างเช่น PTT Futures ตามกลไกการซื้อขายจะใช้วิธีการวางเงินประกัน (Margin) เพียงบางส่วนเมื่อเทียบกับมูลค่าของสัญญา PTT Futures อยู่ที่ประมาณ 5-10%  

 

สำหรับสัญญาของ PTT Futures ใน TFEX 1 สัญญาจะมีขนาดเท่ากับ 1,000 หุ้น ดังนั้นถ้าเราต้องการมีสถานะเท่ากับการซื้อ PTT 10,000 หุ้น เราจะต้องสร้างสถานะสัญญาในฝั่งซื้อ PTT Futures ใน TFEX จำนวน 10 สัญญา ซึ่งการทำสัญญาในฝั่งซื้อ PTT Futures จำนวน 10 สัญญาในตลาด TFEX เราอาจใช้เงินเพื่อวางเป็นหลักประกันสำหรับการซื้อขายเพียง 35,000 บาท (สมมติ 10%) เท่านั้น

 

เราลองมาคำนวณผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้น PTT มีการเปลี่ยนแปลง แล้วลองเปรียบเทียบดูว่าการซื้อหุ้น PTT ในตลาดหลักทรัพย์ กับการทำสัญญาซื้อ PTT Futures จะเป็นอย่างไร 

 

กรณีซื้อหุ้น PTT ในตลาดหลักทรัพย์ฯ : ราคาหุ้น PTT ที่เราซื้อที่ราคา 35 บาท ถ้าราคาหุ้น PTT เพิ่มขึ้น 3.50 บาทต่อหุ้น (+10 %) เป็น 38.50 บาท ผลกำไรที่ได้รับจะเท่ากับ 35,000 บาท (กำไร 3.50 บาท คูณ 10,000หุ้น) เมื่อเปรียบเทียบกับเงินที่ใช้ซื้อหุ้นจะทำให้เรามีกำไร 10% (กำไร 35,000 บาท เปรียบเทียบกับเงินต้น 350,000 บาท) และในทางตรงข้ามถ้าราคาหุ้น PTT ปรับลดลง 10% ผลขาดทุนจากการเทรดก็จะเท่ากับ 10% ด้วยเช่นเดียวกัน

 

กรณีที่เราทำสัญญาซื้อ PTT Futures ใน TFEX : ถ้าราคาของ PTT Futures เพิ่มขึ้น 10% เป็น 38.50 บาท ผลกำไรที่ได้ได้รับจะเท่ากับ 35,000 บาท (กำไร 3.50 บาท คูณ 10 สัญญา สัญญาละ 1,000หุ้น) เมื่อเปรียบเทียบกับเงินประกันที่วางไว้ -35,000 บาท การเทรดครั้งนี้เราจะมีกำไรสูงถึง 100% (กำไร 35,000 บาท เปรียบเทียบกับเงินต้น 35,000 บาท) และในทางตรงข้ามถ้าราคาหุ้น PTT ปรับลดลง 10% ผลขาดทุนจากการเทรด PTT Futures ก็จะสูงถึง 100 %

 

กลไกการซื้อขายอนุพันธ์ที่ใช้วิธีการวางเงินประกัน ทำให้ผลกำไรขาดทุนเกิดขึ้นเมื่อคิดเป็น % เปรียบเทียบกับเงินที่ใช้ในการเทรดอนุพันธ์มากกว่าผลกำไรขาดทุนเกิดขึ้นเมื่อคิดเป็น % เปรียบเทียบกับเงินที่ใช้ในการเทรดสินค้าจริง ลักษณะพิเศษที่เกิดขึ้นจากการเทรดอนุพันธ์ลักษณะนี้เราจะเรียกว่า “อัตราเพิ่มของเงิน” หรือ “Leverage” จากกรณีตามตัวอย่างเราจะบอกว่าการซื้อขาย PTT Futures จะมี Leverage 10 เท่า เนื่องจากกำไรขาดทุนที่เกิดจากการซื้อขาย PTT Futures มากกว่ากำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการซื้อหุ้น PTT 10 เท่า ในกรณีที่ราคามีการเปลี่ยนแปลงเท่ากัน

 

ความจำเป็นของการใช้ Leverage ในการเทรด กับการบริหารเงินและความเสี่ยงในการเทรด

ที่มาของการที่เทรดเดอร์มีความจำเป็นต้องซื้อขายในสินค้าที่มี Leverage เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการบริหารความเสี่ยงและเงินในการเทรด (Money Management) ในการเทรด ที่จะทำให้เทรดเดอร์สามารถอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว และทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จะมีอยู่ 2 ประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

  1. ในการเทรดแต่ละครั้งจะต้องมีการจำกัดความเสี่ยงหรือผลขาดทุนที่จะเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ความเสียหายจากการเทรดครั้งนั้น ๆ ส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อเงินในพอร์ตโดยรวม 
  2. ในการเทรดแต่ละครั้งจะต้องไม่ใช้เงินจำนวนมากจนเกินไป เนื่องจากมีความจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงในการเทรดให้ได้หลายกลุ่มสินค้า และยังต้องบริหารเงินให้สามารถรับโอกาสในการเทรดที่จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาได้

รูปแสดงตัวอย่างที่มาและวัตถุประสงค์ในการบริหารความเสี่ยงและเงินในการเทรด

สำหรับการจำกัดความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้ง จะนิยมกำหนดด้วยผลขาดทุนสูงสุดต่อครั้งเป็น % ของเงินที่เรานำมาใช้ในการเทรด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีข้อแนะนำให้อยู่ที่ประมาณ 2-5% (หากผู้อ่านสนใจเพิ่มเติมว่า ตัวเลข 2-5% มีที่มาอย่างไร แนะนำให้ลองศึกษาเพิ่มเติมหัวข้อเกี่ยวกับ Money Management เรื่อง Risk of Ruin)

 

 ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีเงินที่จะนำมาใช้ในการเทรดอยู่ที่ 1,000,000 บาท หากเรากำหนดไว้ว่าจะเสี่ยงขาดทุนในการเทรดและครั้งไม่เกิน 2% ของเงินที่นำมาใช้ในการเทรด ดังนั้น ในแต่ละครั้งของการเทรดก็จะกำหนดไว้ว่าต้องไม่ขาดทุนเกิน 20,000 บาท ซึ่งตัวเลข 20,000 บาทนี้ จะถูกนำไปคำนวณ Position Sizing ว่าควรจะซื้อขายหุ้นจำนวนกี่หุ้น หรือสัญญาซื้อขายใน TFEX จำนวนกี่สัญญา

 

สำหรับการบริหารเงินในการเทรดเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านการกระจายความเสี่ยง จะนิยมกำหนดด้วยจำนวนเงินสูงสุดเป็น % ของเงินที่เราจะนำมาใช้ในการเทรด เพื่อให้สามารถเทรดสินค้าได้หลายหลายกลุ่ม โดยทั่วไปค่าที่แนะนำจะอยู่ที่ประมาณ 10-15% ซึ่งจะทำให้เราสามารถเทรดได้ประมาณ 8-10 กลุ่มสินค้า

 

จากตัวอย่างข้างต้นที่มีเงินที่จะนำมาใช้ในการเทรดที่ 1,000,000 บาท เราอาจกำหนดให้จำนวนเงินที่ต้องใช้ในการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 125,000 บาท (12.5%) ซึ่งจะสามารถทำให้เรามี Position ในสินค้าได้ 8 กลุ่ม พร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกัน 

 

A picture containing text

Description automatically generated

รูปแสดงตัวอย่างการบริหารความเสี่ยงในการเทรดด้วยการกำหนดจำนวนเงินที่จะขาดทุนสูงสุดในแต่ละครั้ง 

และการบริหารเงินในการเทรดโดยการกำหนดจำนวนเงินสูงสุดที่จะใช้ในการเทรดแต่ละครั้ง

 

จากตัวอย่างการบริหารความเสี่ยงและเงินในการเทรดข้างต้น เมื่อเราอยู่หน้างาน สิ่งที่เทรดเดอร์มักจะต้องประสบอยู่เป็นประจำ คือ ถึงแม้ว่าเราจะสามารถรับความเสี่ยงในการเทรดได้ตามที่ถูกจำกัดไว้แล้วก็ตาม แต่ เงินที่นำมาใช้ในการเทรดกลับไม่เพียงพอ หรืออาจจะพูดง่าย ๆ  ว่า Positions Sizing ถูกจำกัดจากเงื่อนไของเงินที่จะนำมาใช้ในการเทรดแต่ละครั้ง โดยที่แท้จริงแล้วเรายังสามารถรับความเสี่ยงในการเทรดครั้งนั้น ๆ ได้มากกว่านี้

 

ยกตัวอย่างเช่น สมมติเรามีเงินลงทุน 1,000,000 บาท แล้วเราวิเคราะห์ได้สัญญาณซื้อขายจากหุ้น BDMS ที่ราคา 22 บาท โดยมีระดับราคาตัดขาดทุนอยู่ที่ 21 บาท โดยจำกัดความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงสุดครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท (2%) และเงินที่จะใช้ในการเทรดมากที่สุดไม่เกิน 125,000 บาท (12.5%)

 

Position Sizing จากเงื่อนไขด้านความเสี่ยง จะคำนวณจากระดับราคาตัดขาดทุน ซึ่งหากการเทรดครั้งนี้ผลออกมาเป็นขาดทุน โดยที่ราคาหุ้น BDMS ปรับลดลงไปที่จุดตัดขาดทุนที่ 21 บาท และราคาที่เราเข้าซื้อคือ 22 บาท จะเกิดผลขาดทุนหุ้นละ 1 บาท การที่เรากำหนดผลขาดทุนไว้สูงสุดทึ่ 20,000 บาทต่อครั้ง ทำให้ครั้งนี้เราสามารถซื้อหุ้น BDMS ได้ 20,000 หุ้น (20,000/1)

 

สำหรับ Position จากเงื่อนไขของเงินที่นำมาใช้ในการเทรดสูงสุด จะคำนวณจากราคาที่เราเข้าซื้อ คือ 22 บาท ซึ่งเรามีเงินสูงสุดที่จะนำมาใช้ในการเทรดครั้งนี้ได้ คือ 125,000 บาท เราจะสามารถซื้อหุ้น BDMS ในครั้งนี้ได้เพียง 5,681 หุ้นเท่านั้น (125,000/22) ถ้าหาเราต้องการซื้อหุ้นตัวนี้จำนวน 20,000 หุ้นตามความเสี่ยงสูงสุด 2% ที่เรารับได้เราจะต้องใช้เงินมากถึง 440,000 บาท (22x20,000) ถ้าหากเราใช้เงินในการเทรดครั้งนี้สูงถึง 440,000 บาทจากเงินที่เรามีทั้งหมด 1,000,000 บาท เราจะเหลือเงินอีกไม่มากไว้สำหรับการเทรดสินค้าอื่น หรือลงมือในโอกาสเทรดอื่น ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต

 

สรุปจากเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อทำให้จากจังหวะซื้อหุ้น BDMS ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้สามารถเราจะสามารถซื้อหุ้น BDMS ได้เพียง 5,600 หุ้น (ปัดเศษเป็น Board Lot) ซึ่งตรงนี้จะเป็นโจทย์เพิ่มเติมให้แก้ไขต่อไปว่าจะมีแนวทางหรือวิธีการอย่างไรหรือไม่ที่จะทำให้สามารถเทรดได้ถึง 20,000 หุ้น เพื่อรับความเสี่ยง 20,000 บาท โดยใช้เงินในการเทรดไม่เกิน 125,000 บาท และแนวทางแก้ไขปัญหานี้ คือ การซื้อขายตราสารที่สามารถให้ Leverage ได้นั่นเอง

 

แนวทางและตัวอย่างการใช้ Leverage จากสินค้าใน TFEX เพื่อบริหารเงินในการเทรด

คุณสมบัติของตราสารที่มี Leverage จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถซื้อขายสินค้าที่ต้องการได้โดยใช้เงินที่น้อยลงกว่ามูลค่าสินค้าหรือมูลค่ารวมของสัญญญาที่ทำการซื้อขาย ดังนั้นในกรณีที่เทรดเดอร์ประสบปัญหาจากการเทรดในกรณีที่คำนวณ Position Sizing แล้ว พบว่า Position ที่สามารถเทรดได้ถูกจำกัดจากเงื่อนไขของเงินที่จะนำมาใช้ในการเทรด แต่ยังสามารถรับความเสี่ยงในการเทรดครั้งนั้น ๆ ได้มากกว่านี้ ทำให้เทรดเดอร์จำเป็นต้องซื้อขายในตราสารที่มี Leverage เพื่อลดภาระด้านเงินที่จะใช้ในการเทรดและครั้ง ซึ่งสินค้าใน TFEX ก็เป็นสินค้าที่มีคุณสมบัติของ Leverage จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เทรดเดอร์เลือกใช้เป็นเครื่องมือ

 

จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมาข้างต้น วิธีในการคำนวณเงินที่ใช้ในการเทรดในกรณีที่ต้องการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX จะเริ่มต้นจากตัวเลขอัตราเงินประกันขั้นต้น (Initial Margin) ต่อสัญญาที่ผู้ลงทุนจะต้องนำเงินมาวางไว้กับโบรกเกอร์ จากตัวเลขอัตราเงินประกันขั้นต้นของ BDMS Futures ณ วันที่ 5 เมษายน 2565 ที่ 1,295 บาทต่อสัญญา ทำให้เทรดเดอร์ที่ต้องการมีสถานะบน BDMS Futures จำนวน 20 สัญญา (20,000 หุ้น) จะใช้เงินในการเทรดครั้งนี้ 25,900 บาท ซึ่งยังอยู่ในเงื่อนไขของเงินที่จะใช้ในการเทรดแต่ละครั้งที่ไม่เกิน 125,000 บาท

 

จะเห็นได้ว่า Leverage ที่เป็นคุณสมบัติของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX นั้น มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์อย่างมากในการบริหารความเสี่ยงและเงินในการเทรดให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งในกรณีนี้จะถือได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากตราสารที่มี Leverage ได้อย่างมีประสิทธิผลตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

 

สินค้าที่แนะนำให้เทรดกรณีที่ต้องการ Leverage 

สำหรับผู้ลงทุนในประเทศที่ต้องการ Leverage จากสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในตลาด TFEX มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับสินค้าหลากหลายประเภทที่จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในสินค้าได้หลากหลายกลุ่ม ได้แก่  ดัชนี SET50 (SET50 Index Futures), หุ้นรายตัว (Single Stock Futures),  ทองคำ (Gold Online Futures), โลหะเงิน (Silver Online Futures), อัตราแลกเปลี่ยน USD/THB (USD Futures) ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเหล่านี้เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายใน TFEX ได้อย่างคล่องตัว ซึ่งวิธีการสังเกตว่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตัวใดมีสภาพคล่องสูงหรือไม่ สามารถพิจารณาได้จาก ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) ปริมาณเสนอซื้อ (Bid Volume) และปริมาณเสนอขาย (Offer Volume)

A screenshot of a computer

Description automatically generated with low confidence

รูปแสดงตัวอย่างปริมาณเสนอซื้อ (Bid Volume) ปริมาณเสนอขาย (Offer Volume) ของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX (ที่มา : โปรแกรม Streaming)

ข้อสังเกตสำหรับการใช้ Leverage จาก Single Stock Futures

ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การใช้งาน Leverage จากสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีประสิทธิภาพ คือ สภาพคล่องของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเทรดเดอร์บางรายที่จะใช้ประโยชน์ของ Leverage จาก Single Stock Futures อาจเข้าใจว่าสภาพคล่องของ Single Stock Futures ในหุ้นอ้างอิงบางตัวบนกระดานซื้อขายที่จับคู่แบบอัตโนมัติ (Automatic Order Matching : AOM) ไม่มีสภาพคล่อง เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Offer Price) จะพบว่ามีส่วนต่างค่อนข้างกว้างเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นอ้างอิงที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

A picture containing text, scoreboard, black

Description automatically generated

รูปแสดงตัวอย่างราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Offer Price) ของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน TFEX ที่มีสินค้าอ้างอิงเป็นหุ้นนั้น ๆ  (ที่มา : โปรแกรม Streaming)

ประเด็นนี้ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มจากประสบการณ์ในการเทรดส่วนตัว คือ Single Stock Futures ที่อ้างอิงหุ้นบางตัวอาจไม่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั่วไปในการเข้ามาซื้อขาย จึงทำให้ส่วนต่างของราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Offer Price) ของ Single Stock Futures ตัวนั้น  ๆ แตกต่างกันมากกว่าราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายของหุ้นอ้างอิง แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Single Stock Futures ใน TFEX จะมีผู้ดูแลสภาพคล่องเข้ามาเสริมสภาพคล่องในการซื้อขายทำหน้าที่เสริมสภาพคล่องในการซื้อขายอยู่ ถ้าเทรดเดอร์ทดลองส่งคำสั่งซื้อขาย Single Stock Futures ในราคาที่อยู่ระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย ก็จะมีโอกาสสูงที่คำสั่งซื้อขายนั้น ๆ จะได้รับการจับคู่ซื้อขาย สำหรับเทรดเดอร์ที่มีพอร์ตในการลงทุนที่ไม่ใหญ่มากที่ต้องการซื้อขาย Single Stock Futures เพียงไม่กี่สัญญา เชื่อว่าคำสั่งที่ส่งไปจะได้รับการจับคู่ซื้อขายทำได้ไม่ยากเลย 

 

แต่ถ้าเทรดเดอร์ที่มีพอร์ตลงทุนใหญ่ และต้องการซื้อขาย Single Stock Futures จำนวนหลาย ๆ สัญญา ปัจจุบันแทบจะทุกโบรกเกอร์จะมีบริการ Block Trade ที่ทำหน้าที่เป็นคู่สัญญาฝั่งตรงข้ามให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อขาย Single Stock Futures จำนวนมาก โดยใช้ราคาหุ้นบนกระดานซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นราคาอ้างอิงในการทำสัญญา Single Stock Futures ดังนั้นผมมีความเห็นว่า จากสภาพตลาดในปัจจุบันความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่องในการซื้อขายของ Single Stock Futures ไม่น่าจะเป็นประด็นที่ต้องกังวลมากนัก และเหมาะที่จะใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้าง Leverage ได้เป็นอย่างดี 

 

บทสรุป

ผู้ลงทุนหรือเทรดเดอร์มือใหม่อาจจะมีความเข้าใจว่าการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีความเสี่ยงสูงและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่ในความเป็นจริงเมื่อเทรดเดอร์ได้ใช้หลักการของการบริหารความเสี่ยงและการบริหารเงินในการเทรดเข้ามากำหนดเงื่อนไขในการคำนวณมูลค่าของสถานะที่ควรจะลงมือซื้อขายในแต่ละครั้ง (คำนวณ Position Sizing) มักจะพบว่า Position Sizing ที่คำนวณได้ ส่วนใหญ่จะถูกจำกัดจากเงื่อนไขของจำนวนเงินที่จะใช้ในการซื้อขายในแต่ละครั้ง ซึ่งเราอาจจะยังสามารถรับความเสี่ยงจากการเทรดได้มากกว่า Position Sizing ที่คำนวณได้ จึงทำให้การใช้ประโยชน์จากตราสารที่มี Leverage เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ ที่จะทำให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ตามเงื่อนไขของความเสี่ยงที่ยอมรับได้และจำนวนเงินที่จะใช้ในการเทรด 

 

สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นศึกษา TFEX

ตอนนี้ stock2morrow และผม ได้ออกแบบหลักสูตร “TFEX มือใหม่ ทำกำไรในทุกสภาวะตลาด” ที่เหมาะกับสายเทรดหุ้นมาก่อน รวมถึงผู้ที่กำลังเริ่มต้นเทรด TFEX ให้สามารถเข้าใจถ่องแท้ถึงทุกเทคนิคและกลยุทธ์ที่สำคัญ สู่การทำกำไรในทุกสภาวะได้อย่างสม่ำเสมอ

 

ดูรายละเอียด/สมัคร ได้ที่ https://stock2morrow.com/course/53?ref_code=2105316884400


Freedom Trader ฉายาเทรดเดอร์พ่อลูกอ่อน ประสบการณ์ด้านเทคนิคและกลยุทธ์ในหุ้นและอนุพันธ์มากกว่า 15 ปี วิทยากรรับเชิญให้ความรู้กับ IC และผู้ลงทุนของ SET , TFEX , TSI , ATI โบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ ฯลฯ นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของผลงานหนังสือ Best Sellers ด้าน Technical Analysis มากมายในนาม "DaddyTrader"

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง