ไม่ใช่พาวเวอร์แบงค์ที่ใช้ชาร์จมือถือ... แต่เป็นแบบติดผนังบ้าน!
และมันจะมากระทบหุ้นน้ำมันที่พวกเราติดดอยกันอยู่หรือไม่?
หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วว่า อีลอน มาส์ก (เจ้าของธุรกิจบริษัทเทสลา ผลิตรถไฟฟ้า, SpaceX และอีกหลายบริษัท ผู้ที่ต้องการจะเปลี่ยนโฉมโลกใบนี้ ให้หลุดพ้นจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซ และหันมาใช้พลังงานทดแทน เช่นพลังงานแสงอาทิตย์แทน) กำลังเร่งผลิต “แบตเตอรี่บ้าน (Powerwall)” ที่กำลังเป็นที่นิยมในออสเตรเลียเป็นอย่างมาก
“แบตเตอรี่บ้าน (Powerwall)” คืออะไร?
เปรียบเทียบง่ายๆ แบตเตอรี่บ้านก็คล้ายกับแบตสำรองที่เราใช้ชาร์จโทรศัพท์มือถือยามฉุกเฉินนั่นแหละ แต่เป็นแบตขนาดยักษ์ที่ติดอยู่ที่ผนังบ้าน ไว้กักเก็บพลังงานจากแผงโซล่าเซลล์ในตอนกลางวัน ชาร์จไฟเก็บไว้ในแบตเตอรี่เพื่อนำมาใช้ในช่วงที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว
บุกประเทศที่เสี่ยงน้อยที่สุดก่อน
ทำไมต้องออสเตรเลีย? เพราะฝรั่งแคร์เรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนไทยหรือ?
ไม่ใช่หรอกครับ แต่เป็นเพราะมันมีเรื่องตัวเงินมาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องนี้มีคำตอบครับ (อันนี้สอนวิธีการวิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจไปด้วยในตัวเลย 55)
1. มีกำลังซื้อ
อีลอน มาส์ก ได้พิจารณาอย่างดีแล้วว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศที่โดยเฉลี่ยประชากรมีกำลังซื้อ เพราะราคาของแบตเตอรี่บ้านรุ่นมาตรฐานนี้ ตกอยู่ที่ประมาณ 100,000-150,000 บาทเลยทีเดียว (ซึ่งยังไม่รวมค่าติดตั้งและการเชื่อมต่อระบบไฟอีกต่างหาก) ประเทศที่กำลังซื้อไม่สูงมากอย่างประเทศไทย คงมีเพียงไม่กี่บ้านที่จะลงทุนซื้อแบตในราคาระดับนี้ได้
2. คาร์บอนเครดิต
ที่ประเทศออสเตรเลียมีการส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง โดยบ้านที่เลือกใช้พลังงานทดแทน จะได้ค่าชดเชยบิลค่าไฟฟ้าบางส่วน เจ้าของบ้านจึงมีจุดคุ้มทุนในการลงทุนติดตั้งแบตเตอรี่บ้านที่เร็วขึ้น
3. ขายไฟคืน ได้กำไร
ในประเทศออสเตรเลียค่าไฟในช่วงเวลากลางคืนสำหรับบ้านอยู่อาศัยทั่วไป จะแพงกว่าช่วงเวลากลางวัน เจ้าของบ้านจึงสามารถขายไฟที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่คืนสู่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง
สรุป... น้ำมันจะหมดยุคแล้วใช่ไหม?
ยังครับ ไม่น่าจะง่ายแบบนั้นในเร็วๆวันนี้ เพราะ:
- น้ำมันดิบยังเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และพาหนะอีกหลายประเภทเช่น เครื่องบิน รถไฟ เรือเดินสมุทร รถบรรทุกหนัก ที่คงยังไม่ได้วิ่งด้วยแบตเตอรี่กับพลังงานแสงอาทิตย์ในเร็ววันนี้
- หลายประเทศในโลกยังไม่มีระบบค่าชดเชยพลังงานทดแทน เช่น คาร์บอนเครดิต เป็นแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสีเขียว ต้นทุนในการติดตั้งและอุปกรณ์ก็ยังคงแพงสำหรับคนในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่น้ำมันและก๊าซธรรมชาติถูกลงมาก ทำให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลก็ลดลงด้วย
- ลิเที่ยม (Lithium) ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแบตเตอรี่ประเภทนี้ เป็นหนึ่งในแร่หายากมาก (Rare Earth) และปัจจุบันประเทศที่ส่งออก Rare Eacth มากที่สุดในโลกก็ไม่ใช่ใครครับ คือประเทศจีนนั่นเอง (หลายคนคงเริ่มร้องอ๋อว่าทำไมเรื่องนี้ถึงได้ซับซ้อนนัก)
เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่า อีลอน มาส์ก จะสามารถชักจูงคนทั้งโลกให้มาใช้แบตเตอรี่บ้านหรือรถไฟฟ้าได้จริง แต่เมื่อเริ่มมีปริมาณความต้องการแบตเตอรี่บ้านเป็นจำนวนมาก แล้วจะเอาวัตถุดิบจากไหนมาทำแบตเตอรี่?
หลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา ประเด็นนี้ได้ถูกนำมางัดข้อกันทางการเมืองบ่อยครั้ง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อญี่ปุ่นจะพัฒนาแบตเตอรี่คุณภาพสูงเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ก็ประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ เพราะจีนงัดข้อด้วยการไม่ส่งออกแร่ให้ญี่ปุ่นซะอย่างงั้นเลย โครงการแบตเตอรี่คุณภาพสูงของญี่ปุ่นจึงสะดุดมาตลอด
เว้นเสียแต่ว่าในอนาคตจะหาวัตถุดิบอื่นมาทดแทน Rare Earth ได้ เรื่องนี้ก็พูดกันมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดสามารถทำได้
ต้องจับตากันครับว่า นี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกใบนี้หรือไม่
ส่วนใครที่ติดดอยหุ้นน้ำมันอยู่ ต้องลุ้นกันหน่อยว่าก้อนที่แปะฝาบ้านนี้จะเกิดหรือไม่?
ภาพจาก: Mashable