ถ้าถามว่าธุรกิจอะไรที่มีการเติบโตสูงมาก และสามารถซื้อขายได้ผ่านตลาดหุ้นไทย
คำตอบ คือ ธุรกิจประเภทให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน และธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
จึงไม่น่าแปลกใจถ้าบริษัทไหนที่กำลังเข้าตลาด และประกาศตัวว่าอยู่ในกลุ่มธุรกิจติดตามทวงถามหนี้สิน จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนและกองทุนไทยเป็นจำนวนมาก
หุ้นหนึ่งในนั้นที่น่าสนใจ คือ บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ CHASE ที่กำลังจะเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเร็วๆนี้
CHASE ก่อตั้งโดย คุณประชา ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHASE ในปี 2541 เพื่อให้บริการติดตามหนี้
ซึ่งคุณประชา มีประสบการณ์ทำงานในบริษัทติดตามหนี้มาก่อน จึงมีประสบการณ์ในธุรกิจบริหารหนี้ 30 ปี
... อีก 5 ปีต่อมา คุณประชา ก่อตั้งบริษัท รีโซลูชั่น เวย์ จำกัด เพิ่มอีกหนึ่งธุรกิจใหม่เข้ามา คือ บริหารจัดการสินทรัพย์ โดยรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาจากสถาบันการเงิน
พูดง่ายๆ คือ การซื้อลูกหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินมาบริหารเอง
ต่อมาในปี 2564 RS GROUP ตัดสินใจซื้อหุ้น 35% มูลค่า 920 ล้านบาท กลายมาเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในปัจจุบัน
1. บริษัททำธุรกิจอะไร รายละเอียดหุ้นแบบสรุป
ปัจจุบัน CHASE ดำเนินธุรกิจ 2 ธุรกิจ คือ
1. ธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน
2. ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์จากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 562 ล้านหุ้น
ที่ราคา 2.90 บาท ราคาพาร์อยู่ที่ 0.5 บาทต่อหุ้น
และมีมูลค่าตามบัญชี (Book Value) อยู่ที่ 1.30 บาทต่อหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2565
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การเสนอขาย IPO ครั้งนี้ ไม่มีการเสนอขายให้กับผู้จองซื้อรายย่อยหรือประชาชนเป็นการทั่วไป
ก็น่าติดตามว่าราคาเปิดมาจะเป็นอย่างไรครับ
2. ผลประกอบการที่ผ่านมา
ปี 2562 บริษัทมีรายได้ 336.15 ล้านบาท กำไรสุทธิ 161.95 ล้านบาท
ปี 2563 บริษัทมีรายได้ 348.53 ล้านบาท กำไรสุทธิ 171.38 ล้านบาท
ปี 2564 บริษัทมีรายได้ 276.27 ล้านบาท กำไรสุทธิ 270.88 ล้านบาท
.
ปี 2564 ผลประกอบการ 9 เดือน บริษัทมีรายได้ 213.98 ล้านบาท กำไรสุทธิ 183.19 ล้านบาท
ปี 2565 ผลประกอบการ 9 เดือน บริษัทมีรายได้ 177.01 ล้านบาท กำไรสุทธิ 121.90 ล้านบาท
พบว่าบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 69.50% และอัตรากำไรสุทธิสูงสุดที่ 34.50%
ที่สำคัญ CHASE มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำมาก ที่ 0.41 เท่า
3. โครงสร้างรายได้
ในปี 2564 บริษัทมีโครงสร้างรายได้มาจาก 3 ส่วนด้วยกัน คือ
1. ธุรกิจให้บริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 35.37%
2. ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์จากการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 48.04%
3.. รายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ Hope Loan คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 16.47% ** ซึ่งรายได้ตรงส่วนนี้ได้หยุดพิจารณาอนุมัติให้สินเชื่อใหม่ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป
4. วัตถุประสงค์การใช้เงิน
บริษัทคาดว่าจะได้เงินหลังจากการระดมทุนหลังหักค่าใช้จ่ายน่าจะอยู่ราวๆ 1,173.5 ล้านบาท และมีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ
1. เพื่อนำไปใช้ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในอนาคต ประมาณ 1,000.0 – 1,120.0 ล้านบาท
2. เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 53.5 – 173.5 ล้านบาท
คำถามสุดท้าย คือ การเสนอขายที่ราคา 2.90 บาทต่อหุ้น แพงไปแล้วหรือยัง ?
จากข้อมูล Filling ของตลาดหลักทรัพย์ชี้แจงว่า การเสนอขายราคานี้ ได้พิจารณาจาก 2 ปัจจัยหลักด้วยกันคือ
1. ราคาที่เหมาะสมตามความประสงค์จองซื้อของนักลงทุนสถาบัน และความต้องการจำนวนเงินที่เหมาะสมของบริษัท ทำให้ราคา 2.90 บาท เป็นราคาที่เหมาะสม
2. การใช้เกณฑ์เทียบ P/BV
โดยการกำหนดที่ราคา 2.90 บาท จะทำให้ P/BV อยู่ที่ 2.82 เท่า
ซึ่งเทียบกับบริษัทจดทะเบียนทีมีธุรกิจใกล้เคียงกัน 4 บริษัทด้วยกัน คือ
... JMT มี P/BV ที่ 4.24 เท่า
... CHAYO มี P/BV ที่ 3.11 เท่า
... BAM มี P/BV ที่ 1.19 เท่า
... KCC มี P/BV ที่ 4.13 เท่า
นั่นหมายความว่าการเสนอขายที่ 2.82 เท่า ค่อนข้างมีการเกาะกลุ่มกับค่าเฉลี่ย
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ CHASE คือ ราคาเปิดจะอยู่ที่เท่าไร
เพราะเราต้องไม่ลืมว่าการเสนอขาย IPO ครั้งนี้ ไม่มีการเสนอขายให้กับผู้จองซื้อรายย่อยหรือประชาชนเป็นการทั่วไป
ดังนั้น ถ้านักลงทุนคนไหนอยากจะได้หุ้น CHASE จำเป็นจะต้องไป Bid ซื้อในตลาดครับ
------------------------------------------------------------------------------
Reference
ข้อมล Filling : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย