#แนวคิดด้านการลงทุน

ไพ่ใบสุดท้าย "ธนู 3 ดอกของญี่ปุ่น" คืออะไร?

โดย Finance Geek
เผยแพร่:
983 views

 

ข่าวล่าสุดที่ตลาดให้ความสนใจมากในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นติดลบของญี่ปุ่นนะคะ หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันมีความหมายยังไง เลยคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดี ที่เราจะมาคุยเรื่องเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจกันค่ะ โดยในแต่ละประเทศจะมีเครื่องมือหลักๆ 3 อย่างที่นำมาใช้กัน หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า “The Three Arrows” ดังต่อไปนี้ค่ะ

 

 

1. การกระตุ้นทางการเงิน (Monetary Stimulus)

 

เป็นเครื่องมือของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ที่ใช้ในการเพิ่มสภาพคล่อง หรือจำนวนเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศ (Money Supply) ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในยุคนี้นะคะ โดยเครื่องมือหลักๆที่ใช้คือ การปรับลดอัตราเงินฝากสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องถือ (Reserve Ratio) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงต่างๆ และการเข้ามาซื้อหลักทรัพย์ในตลาด (ตัวอย่างคือ Quantitative Easing ทั้งหลาย) เราจะเห็นธนาคารกลางชั้นนำต่างๆในโลก ได้นำเครื่องมือกระตุ้นทางการเงินนี้มาใช้นะคะ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางจีน (PBoC), ธนาคารกลางยุโรป (ECB), และ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ซึ่งล่าสุดนี้ ได้ลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงไปที่ติดลบ -0.1% แล้ว

 

โดยความหมายของดอกเบี้ยติดลบของญี่ปุ่นนี้คือ ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารกลางญี่ปุ่น ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต้องการฝากเงินจำนวนมากกว่าเงินฝากสำรองตามที่ธนาคารกลางกำหนด (Reserve Requirement) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น ต้องการให้ธนาคารพาณิชย์นั้น นำเงินฝากส่วนเกินเข้ามาปล่อยกู้ในระบบ แทนที่จะปล่อยทิ้งไว้เฉยๆที่ธนาคาร ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นค่ะ

 

นอกจากนี้แล้วดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลาง ก็เป็นดอกเบี้ยพื้นฐานที่ธนาคารพาณิชย์ใช้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ ด้วย เมื่อดอกเบี้ยอ้างอิงลดลง ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากก็มักจะลดลง ทำให้ภาคธุรกิจกู้เงินมาลงทุนมากขึ้น นักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Assets) มากขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยเงินฝาก และดอกเบี้ยให้กู้เงินลดลง ส่งผลให้ผลตอบแทนตราสารหนี้ลดลง นักลงทุนก็มองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น (Searching for yields)

 

เราจะเห็นได้ว่าหลังจากมีการประกาศลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นมักจะตอบรับโดยการปรับตัวขึ้นทันที และค่าเงินก็มักจะอ่อนลงทันที เป็นการช่วยกระตุ้นการส่งออกของประเทศอีกทางหนึ่ง (เนื่องจากตามทฤษฎีแล้ว เงินทุนจะไหลไปในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าค่ะ)

 

ในทางกลับกันเราจะเห็น ธนาคารกลางสหรัฐ ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นแล้วนะคะ โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยอ้างอิง เนื่องจากการปล่อยให้ดอกเบี้ยต่ำเกินไปเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ฟองสบู่ได้ค่ะ

 

 

2. การกระตุ้นทางการคลัง (Fiscal Stimulus)

 

เป็นเครื่องมือการกระตุ้นจากภาครัฐ คือการที่ภาครัฐเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ในระบบเศรษฐกิจ เช่นการสร้าง หรือ พัฒนาระบบสาธารณูปโภคขึ้นพื้นฐาน การกระตุ้นนโยบายพัฒนาต่างๆ

 

นอกจากการที่ภาครัฐจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นแล้ว การลดภาษีก็เป็นเครื่องมือการกระตุ้นทางการคลังอีกอย่างหนึ่งค่ะ ซึ่งภาครัฐสามารถเลือกได้ว่าต้องการที่จะใช้ปรับลดหรือเพิ่มภาษีในส่วนไหน

 

มองง่ายๆคือภาครัฐดำเนินนโยบายขาดดุลมากขึ้น โดยจะใช้จ่ายมากกว่าได้รับจากภาษี โดยเงินส่วนเกินที่จะนำมาใช้จ่ายนั้น ก็ได้มาจากการออกพันธบัตรรัฐบาลกู้ยืมในระบบ หรือกู้ยืมจากต่างชาติ การกระตุ้นทางการคลังนี้ ก็เป็นเครื่องมือกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่ใช้กันมากค่ะ ดังที่เราจะเห็นได้จากหนี้ภาครัฐที่อยู่ในอัตราสูงของแต่ละประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ที่มีขนาดมากกว่า 200% ของ GDP ของประเทศไปแล้ว

 

 

 

3. การปรับเปลี่ยนทางด้านโครงสร้าง (Structural Reform)

 

เป็นการปรับปรุงทางด้านโครงสร้างของประเทศเพื่อเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น จีน ที่มีการยกเลิกกฏหมายลูกคนเดียว (One Child Policy) การเริ่มที่จะปรับเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน การลดบทบาทของ Shadow Banking และการปราบปรามคอรัปชั่นอย่างจริงจังในช่วงปีที่ผ่านมานี้

 

ในส่วนของญี่ปุ่น คือ การเข้าร่วมกับการร่วมมือทางเศรษฐกิจของ Trans-Pacific Partnership (TPP) การกระตุ้นให้ผู้หญิงออกมาทำงานมากขึ้น เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีปัญหาแรงงานในระบบที่มีอัตราลดลง รวมถึงประชากรที่แก่ตัวลง (Aging Population) เนื่องจากมีอัตราเกิดที่ต่ำ และการปรับทางด้านโครงสร้างอีกอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น ที่คนไทยเราได้รับประโยชน์ไปด้วยคือ การกระตุ้นทางด้านการท่องเที่ยว โดยให้ต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศง่ายขึ้น โดยการยกเลิกวีซ่า เราจะเห็นได้ง่ายๆเลยนะคะ ว่ามีคนไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมาก

 

โดยการปรับเปลี่ยนทางด้านโครงสร้างนี้ เป็นเครื่องมือที่อาจจะใช้เวลายาวนานกว่าสองเครื่องมือแรกในการดำเนินการ เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบที่มีอยู่ไปสู่ระบบใหม่ แต่ทั้งนี้แล้วถือว่าเป็นเครื่องมือกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่มั่นคง และจะส่งผลดีในระยะยาวมากกว่าสองเครื่องมือแรกค่ะ

 

 

โดยส่วนตัวแล้วมองว่าในส่วนของเศรษฐกิจของประเทศไทยเรา การกระตุ้นโดยการปรับเปลี่ยนทางด้านโครงสร้างนี้ เป็นสิ่งที่เราต้องการมากกว่าการกระตุ้นทางด้านการเงินหรือการคลังเสียอีกค่ะ

 

 


เจ้าของเพจ Finance Geek นำเสนอบทความแนววิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจโลก กระแส Fund Flow ที่ส่งผลกระทบถึงตลาดหุ้นไทยและนักลงทุนไทย รวมถึงเปรียบเทียบการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆเช่น หุ้น ทอง น้ำมัน และ Commodity อื่นๆ ในภาษาที่เป็นเข้าใจง่ายทั้งสำหรับเพื่อนๆที่เล่นหุ้น ทั้งมือใหม่และมือเก๋า

Finance Geek ปัจจุบันทำงานให้กับสถาบันการเงินชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบันยังเป็น CFA (Chartered Financial Analyst)  และ CAIA (Chartered Alternative Investment Analyst) อีกด้วย

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง