เรามักจะคุยกับเพื่อนว่า ถ้าวันนึงเรารวย เราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้
แต่พอเราถึงเป้า เราก็มักจะเขยิบเป้าไปอีกนิด อีกนิด
ก็เลยไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำสักที ... เคยเป็นไหมครับ ?
ผมว่า ยิ่งคนอายุเยอะ ยิ่งเจอปัญหานี้ เพราะ Gen เรา ถูกสอนให้ Value การทำงานหนัก การอดทน มีเงินก็ไม่ใช้ เก็บไว้ก่อน เผื่อไว้ก่อน
มันอาจมีสิ่งไม่คาดฝัน เราต้องปลอดภัยไว้ก่อน
จนผมเจอรุ่นพี่คนนึง เขาบอกผมว่า
ไอ้น้องชาย เอ็งรู้ไหมว่า วิกฤตวัยกลางคน มันคืออะไร ?
ไม่รู้ครับพี่ … แปลว่า จิตตกหรือเปล่า ?
ไม่ใช่เลยน้องชาย
มันแปลว่า คนเรามาถึงจุดที่หลอกตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว ว่าชีวิตมันจะมีสิ่งที่ดีกว่านี้
คนสมัยก่อน ทำงานหนักตลอดชีวิต ไม่ใช้เงิน
สุดท้ายเมื่อเขาตายไปด้วยมะเร็ง เพราะเครียดไม่เคยหาความสุข
สุดท้าย ลูกหลานได้มรดก เอาไปซื้อ Supercar คนละคัน แล้วขับมางานศพอากง ผู้ล่วงลับประมาณจะบอกอากงว่า อากงไม่ใช้ เดี๋ยวพวกผมใช้ให้ดู
เอาตรงๆ เรื่องนี้ มันไม่มีใครผิดหรือถูก เพียงแต่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ว่า คนทุกคนมีปม และปมชีวิตนั่นแหละ ที่ทำให้คนแต่ละรุ่นสุดโต่งไปคนละแบบ
จุดที่ดีที่สุด คือ จุดที่เราหาสมดุลย์ของเราให้เจอต่างหาก
เมื่อเราถึงจุดที่เราหลอกตัวเองต่อไปไม่ได้ว่า ชีวิตข้างหน้าจะมีความสุข และดีกว่านี้’
มันคือ จุดที่เราปลดล็อค ปมชีวิต และ ความรู้สึกผิดต่างๆ
1. เราจะอนุญาตให้ตัวเอง ทำงานน้อย แต่ได้เงินมากได้ (ยอม work smart แทน work hard)
2. เราจะให้รางวัลตัวเอง กล้าซื้อสิ่งที่เราเคยอยากได้บ้าง แบบสมเหตุสมผล (เออจริงๆ เราก็ซื้อได้นี่หว่า สบายๆ เลย)
3. เราจะไม่ Spoil คนรุ่นหลัง
เราจะยอมให้เขา ไปผิดพลาดบ้าง เพื่อให้เขารู้จักว่า โลกนี้มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เขาคิด (ถ้าเราไม่ยอมเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง สุดท้ายสังคมจะสอนเขาเรื่องนี้อย่างสาสมในที่สุด)
การทำงานหนักและวิ่งไปข้างหน้าแบบไม่ลืมหูลืมตา ในระยะยาว มันอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป
โคตรชอบเลย เราไม่สามารถหลอกตัวเองต่อไปได้แล้วว่า ชีวิตข้างหน้า มันมีอะไรที่ดีกว่านี้
คำพูดนี้มันทำให้คนที่ใช้ชีวิตแบบกระสวยอวกาศอย่างผม ที่เอาแต่พุ่งไปข้างหน้า โดยไม่สนอะไรเลย ให้กลับมาช้าลงบ้าง มองปัจจุบันบ้าง ยอมมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ มากขึ้น
ไม่ได้หมายความว่า เราจะหยุด ไม่พยายามต่อ
ผมก็ยังมีไฟ เพียงแต่ผมแค่เลือกงานมากขึ้น ไม่ได้เอาทุกอย่างที่ขวางหน้า
เอาเฉพาะงานที่มันใช่ก็พอ