ปี 2565 จัดเป็นปีที่การลงทุนหาผลตอบแทนทำได้ยากจากสารพัดปัจจัยลบ ตลาดหุ้นต่างประเทศติดลบกันอย่างหนักหน่วง เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา S&P500 -18.2%, ตลาดหุ้นจีน CSI300 -20%, ตลาดหุ้นฮั่งเส็งฮ่องกง -17.2%, ตลาดหุ้นเวียดนาม -29.6% และตลาดหุ้นโลก MSCI World Index -18.8% (YTD as of Dec 16th)
ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถ perform ได้ดีในปีนี้ กล่าวคือติดลบเพียงเล็กน้อย -2.3% เท่านั้น เหตุผลโดยย่อคือ ตลาดหุ้นไทยแทบไม่ได้รับอานิสงส์ผลบวกจากมาตรการ Unlimited QE และการลดดอกเบี้ยในช่วง ปี 2563-64 เหมือนตลาดหุ้นต่างประเทศ ทำให้เราอยู่ในรอบวัฏจักรเศรษฐกิจที่แตกต่างจากที่อื่น
สำหรับนักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานที่ต้องการหาหุ้นลงทุน เพื่อโอกาสการฟื้นตัวในปี 2566 อาจมองไปที่
- กลุ่มที่ได้รับการจับตามองเป็นพิเศษคือ กลุ่ม Reopening Economy เปิดเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มเปิดเมือง กลุ่มเปิดทาง กลุ่มเปิดเที่ยว กลุ่มเปิดช้อปปิ้ง ฯลฯ ซึ่งคาดหมายว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งใน 4-6 ไตรมาสหน้า นั่นคือวิธีการหนึ่ง
- อีกวิธีการหนึ่ง คือ การมองหาหุ้นแบบ bottom up กล่าวคือ เริ่มมองจาก Sector ที่ลดราคามาอย่างหนักก่อน แล้วจึงพิจารณางบการเงิน ปัจจัยเชิงคุณภาพ อุตสาหกรรม และภาพเทรนด์ใหญ่ของธุรกิจนั้นๆ
คำถามที่น่าสนใจคือ ตลาดหุ้นไทยที่ -2.3% ในปีนี้ แต่มีหุ้นกลุ่มไหนที่มีปัจจัยพื้นฐานผ่านเกณฑ์ คือมีขนาดตลาดที่ใหญ่ ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ในระยะยาว แต่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมาก และเป็นการปรับตัวลงทั้งกลุ่ม (ไม่ใช่ปรับตัวลงเพราะปัจจัยเฉพาะของกิจการใดกิจการหนึ่ง) หนึ่งในนั้นคือหุ้นกลุ่มการเงิน โดยเฉพาะที่ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อย ซึ่งโดนผลกระทบเชิงลบหลายระลอกในปี 65 บทความนี้เรามาลองส่องปัจจัยพื้นฐานเบื้องต้นของหุ้นกลุ่มนี้กันดูครับ
หุ้นกลุ่มธุรกิจการเงิน(หรือบางคนก็เรียกว่า กลุ่มไฟแนนซ์ บางคนก็เรียกว่ากลุ่ม Non-Bank) คือหนึ่งใน Sector ที่มีการเติบโตเร็ว ทั้งในแง่ของขนาดมูลค่าตลาด Market Cap และจำนวนหุ้นใหม่ๆที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย แบ่งตามประเภทธุรกิจย่อยๆได้อีกหลายกลุ่ม เช่น
- กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียน เช่น MTC SAWAD TIDLOR SAK
- กลุ่มบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เช่น AEONTS KTC
- กลุ่มเช่าซื้อ เช่น THANI TK ASK
- กลุ่มซื้อหนี้เสียมาบริหารจัดการ เช่น JMT BAM CHAYO
บริการทางการเงินของกลุ่มไฟแนนซ์ก็มีหลากหลาย ได้แก่ บริการสินเชื่อจำนำทะเบียน โดยใช้หลักประกันคือเล่มทะเบียนรถ โฉนดที่ดิน, บริการเช่าซื้อ หลักประกันคือรถยนต์และยานพาหนะอื่นๆ, บริการบัตรเครดิตที่พิจารณาปล่อยวงเงินเครดิตจากสลิปเงินเดือนหรือเครดิตที่ธนาคารประเมินไว้ และ บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันแต่คิดอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง เป็นต้น
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หรือ Bank Sector เช่น BBL KBANK SCB KTB KKP ซึ่งมีมุมที่เหมือนกันกับกลุ่มไฟแนนซ์ คือมีรายได้มาจากการทำธุรกิจปล่อยกู้ แต่ไม่อยู่ในกลุ่มไฟแนนซ์หรือ ? คำตอบคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์นับเป็นอีก 1 กลุ่มใหญ่ ซึ่งมีความแตกต่างกับกลุ่มไฟแนนซ์อยู่พอสมควร เช่น กลุ่มไฟแนนซ์ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นรายย่อยฐานราก ไม่ค่อยมีกลุ่ม SME และ Corporate แบบที่เป็นลูกค้าของกลุ่มธนาคาร กฎเกณฑ์ควบคุมของกลุ่มไฟแนนซ์ก็มีความเข้มข้นน้อยกว่ากลุ่มธนาคาร เพราะกลุ่มไฟแนนซ์ไม่มีบริการฝากเงินประชาชนเหมือนกับกลุ่มธนาคาร และที่สำคัญ กลุ่มไฟแนนซ์มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูงกว่ากลุ่มธนาคาร เพราะมาจากฐานของลูกค้า Mid to Low income ที่เป็นฐานราก ซึ่งมีจำนวนมากในประเทศไทย
ในรอบกว่าทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่มไฟแนนซ์เป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วในไทย ถือเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่ง เพราะ
- การเข้าถึงสินเชื่อของคนไทยผ่านระบบธนาคารยังทำได้น้อย โดยอาจจะไม่เกิน 20% ของผู้ที่ต้องการสินเชื่อเท่านั้น ดังนั้นสินเชื่อในกลุ่มไฟแนนซ์จึงเป็นทางเลือกของคนที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อธนาคาร ไม่ว่าจะเป็น Bank Loan และ Credit Card หรือบางคนอาจจะไม่เคยมีสมุดบัญชีธนาคารเลยก็มี
- ฐานลูกค้าที่ใหญ่ทำให้กลุ่มไฟแนนซ์มี potential upside ในการเติบโตอีกมากในอนาคต กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10% ต่อปี ติดต่อกันมาเป็นเวลาร่วม 10 ปี ลูกค้ากลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่มีเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วน เช่น ต้องส่งค่าเทอมลูก หรือต้องการค่ารักษาพยาบาลเร่งด่วน ในขณะที่รายได้ในช่วงเวลานั้นไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้
- มีการประมาณการไว้ว่า สินเชื่อจำนำทะเบียนใน 5 ปีข้างหน้า ยังสามารถเติบโตในระดับ 10-15% ซึ่งหาได้ยากในธุรกิจของประเทศไทยที่มี GDP growth เพียงประมาณ 3%-4% เท่านั้น
กลุ่มไฟแนนซ์ สินเชื่อจำนำทะเบียน มีผู้นำในเชิงส่วนแบ่งการตลาด คือ MTC SAWAD TIDLOR ซึ่งทั้ง 3 อันดับรวมกันยังมี ส่วนแบ่งทางการตลาดรวมไม่เกิน 30% ยังคงมีผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรายเล็กรายย่อยตามจังหวัดและตามภูมิภาคต่างๆอีกเป็นจำนวนมาก แนวโน้มผู้เล่นรายใหญ่จะมี Market Share เพิ่มขึ้น จากการขยายตัวกินส่วนแบ่งตลาดของผู้เล่นรายเล็กๆมากขึ้น โดยใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนทางการเงินถูกกว่า ความได้เปรียบในเชิงสาขาที่มีครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า และความได้เปรียบในเชิงเทคโนโลยี ที่สามารถนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพองค์กร
ในปี 66 ธุรกิจไฟแนนซ์จะเป็นอย่างไร ขึ้นกับปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ต้องโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่จำเป็นต้องโตดีมากแต่ห้ามเศรษฐกิจแย่, อัตราการว่างงานของแรงงานระดับกลางลงมา ควรจะต่ำ, นโยบายช่วยเหลือภาครัฐ ผ่านกลไกธนาคารรัฐ(เช่น ธ.ออมสิน) ถ้าลงมาเล่นเองมากๆ ก็จะเป็นอุปสรรคของหุ้นกลุ่มนี้ และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร ถ้าเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อกำไร เป็นต้น
นอกจากนี้รายละเอียดการทำธุรกิจไส้ในของหุ้นไฟแนนซ์แต่ละตัวก็มีความสำคัญ หุ้นแต่ละตัวอาจจะมีรายละเอียดในการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน เพราะมีส่วนผสมของธุรกิจสินเชื่อที่มากน้อยแตกต่างกัน เช่น จำนำทะเบียนมอเตอร์ไซค์, จำนำทะเบียนรถยนต์, จำนำทะเบียนรถแทรกเตอร์, จำนำโฉนดที่ดิน, เครดิตการ์ด, สินเชื่อส่วนบุคคลนาโนไฟแนนซ์ และอื่นๆที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นปัจจัยลบที่หนาแน่นในปี 65 อย่างนโยบายภาครัฐ ที่ประกาศปรับลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ฉบับใหม่ปี 2565 รวมถึง การที่ธนาคารออมสินประกาศแผนธุรกิจ เตรียมขอใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่เป็น Non-Bank ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล และมีดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด 5% ก็กระทบต่อหุ้นไฟแนนซ์แต่ละตัวไม่เท่ากันด้วย
โดยสรุปปี 65 ที่กำลังจะผ่านไปเป็นปีที่ไม่ดีของกลุ่มไฟแนนซ์ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียน ถ้าเราจับตาดูผลตอบแทนนับจากต้นปีของ Big 3 พบว่า MTC -34%, SAWAD -21% และ TIDLOR -22% ถือว่าปรับลดลงมา underperform SET Index อยู่พอสมควร ในปี 66 นักลงทุนยังต้องจับตาดูปัจจัยที่มีผลต่อหุ้นไฟแนนซ์ ทั้งภาวะเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย การแข่งขันในอุตสาหกรรม และนโยบายภาครัฐ
อนาคตหุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีการเติบโตได้อยู่ สามารถอยู่ใน watch list ของการลงทุนได้