ในปี 2016 นี้ จะเป็นปีที่เราน่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมน้ำมันกันชัดเจนมากขึ้นครับ เพราะผู้ซื้อที่มีสายป่านมาก ก็จะซื้อเข้าไปทำให้ตัวเองกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม ในช่วงน้ำมันกลับมา แต่ผู้ขายที่ขายไม่ออก หรือไม่ยอมขายเลย ก็อาจทนไม่ไหวและต้องออกจากตลาดไปในที่สุด
ช่วงน้ำมันตกแรกๆ ผู้ซื้อเองก็อยากจะได้ของถูก และหวังว่าซื้อไปแล้วราคาน้ำมันคงตกลงไม่นานและดีดกลับคืนมา อารมณ์แบบนี้คงมีอยู่ช่วงปลายปี 2014 ถึงกลางปี 2015
แต่แล้วความหวังที่ราคาจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้วก็เริ่มลดลง เมื่อไตรมาส 3-4 ปี 2015 ราคาก็ยังลงต่อ และมาต่ำถึง $27 ในต้นปี 2016 ดูแล้วผู้ซื้อไม่อยากซื้อเท่าไหร่ แม้ผู้ขายก็อยากจะขายให้ในราคาสูงๆนะครับ ผลจึงออกมาเป็น gap ราคาเสนอซื้อ-ขายที่มันต่างกันเกินไป จนจำนวนดีลปี 2015 ทั้งปีตกฮวบไปเลย
ลองมาดูตัวเลขที่บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำอย่าง Deloitte รวบรวมมาให้กันบ้างครับ จำนวนดีล Merger & Acquisition (M&A) ปี 2015 ลดลงมาจากปี 2014 กว่า 47% นับเป็นจำนวนที่ต่ำกว่าปี 2008-2009 ที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ซะอีกนะครับ แล้วดีลมันเกิดที่ไหน?
กว่า 70% ของดีลทั่วโลกเกิดขึ้นในอเมริกาและแคนาดา...ก็ดูไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เลยนะครับ เพราะ ..สินทรัพย์พวก Shale Oil ที่อเมริกาโปรโมทไว้เยอะหรือ Tar Sands ที่ขนาดใหญ่มากๆในแคนาดาคงเป็นที่หมายตากันมากทีเดียว
บริษัทน้ำมันระดับ Super Major อย่าง Exxon Mobil, Chevron, BP, Royal Dutch Shell, Suncor Energy หรือที่สุดจากเมืองจีนอย่าง China National Petroleum Corporation (CNPC), CNOOC, Sinopec, PetroChina ... และท้ายที่สุด Saudi Aramco บริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุด คงออกไปหาซื้อสินทรัพย์ราคาถูกที่อเมริกาและแคนาดาเช่นกัน
ถ้าบินข้ามมาดูที่ตะวันออกกลาง จำนวนดีลกลับคิดเป็นเพียง 1% ของทั้งหมดในปี 2015 เท่านั้นเอง ถือว่ากลุ่ม OPEC ยังคงรักษาของกันไว้อย่างเหนียวแน่นจริงๆนะครับ
ดีลต้นน้ำ & กลางน้ำ
ในจำนวน 379 ดีลที่เกิดขึ้นปี 2015 ธุรกิจ "ต้นน้ำ" คือสำรวจและผลิต เป็นประเภทที่มีสัดส่วนสูงที่สุดคิดเป็น 255 ดีล หรือ 67% ของทั้งหมดเลยทีเดียว เวลานี้ดูจะเป็นเวลาดีที่บริษัทน้ำมันที่สายป่านยาว มีเงินสดพอ จะได้ซื้อสินทรัพย์ชั้นดี โดยเฉพาะการซื้อหลุมน้ำมันที่อยู่ระหว่างการผลิต หรือกำลังจะผลิตครับ...ราคาน้ำมันลง สินทรัพย์หลุมน้ำมันราคาถูก แน่นอนล่ะว่าดีกว่าเสียเงินและเวลาไปสำรวจเองมาก จริงไหมครับ?
กลุ่มธุรกิจ "กลางน้ำ" อย่างพวกสร้างท่อส่งน้ำมันหรือถึงเก็บ เป็นอีกกลุ่มที่มีดีลมากที่สุดรองจากต้นน้ำครับ เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะบริษัทพวกนี้เริ่มปรับตัวกันแล้วนะครับ ตามการปรับโครงสร้างของธุรกิจต้นน้ำ ทั้งการอ้วนขึ้นของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ระดับ super major หรือ ผอมลงของกลุ่ม shale oil
หลังจากนี้ปี 2016 จะเป็นปีที่น่าสนใจจริงๆครับ เพราะ สถาบันการเงินและตลาดทุนคงไม่ยอมเพิ่มสภาพคล่องให้บริษัทน้ำมันกันง่ายๆแล้ว บวกกับสัญญาการป้องกันราคาน้ำมันที่จะหมดลงไปอีก ดูแล้วถ้าราคาไม่ขึ้น คงเป็นปีที่ท้าทายมากสำหรับอุตสาหกรรมครับ
ช่วงนี้มีข่าวลือให้ลุ้นกันอีกแล้วนะครับ ทั้งเรื่องการประนีประนอมกันระหว่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย หรือผู้แทนกลุ่ม OPEC พยายามเรียกร้องให้กลุ่มประเทศ Non-OPEC ร่วมมือกันหาทางออกให้ราคาน้ำมันฟื้นตัว แม้จะยังไม่มีการคุยกันอย่างจริงจัง แต่ใครจะรู้ครับ อาจมีการคุยกันเตรียมการลดกำลังการผลิตในเวทีลับๆอย่างที่เคยเกิดปี 1998 ก็ได้นะ
ขอบคุณข้อมูลชั้นดีและเรื่องราวที่น่าสนใจจาก Deloitte LLP และ Oil & Gas Journal
บทความโดย บูม / FB: MoneyCrown