ถ้าใครติดตามตลาดช่วงนี้ จะพบว่ามีบริษัทจดทะเบียนไทยจำนวนมาก ประกาศซื้อหุ้นจำนวนมาก เช่น
... CPF ซื้อหุ้นคืน 200 ล้านหุ้น วงเงิน 5 พันล้านบาท
... TU ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 200 ล้านหุ้น วงเงิน 3 พันล้านบาท
... COM7 ซื้อหุ้นคืน 30 ล้านหุ้น วงเงิน 1 พันล้านบาท
...  SMT ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น วงเงิน 240 ล้านบาท
ซึ่งจากข่าวที่ออกมา นักลงทุนจะมีมุมมองเชิงบวกต่อบริษัทที่ซื้อหุ้นคืน เพราะมองว่าราคาหุ้น ณ ปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น รวมถึงถ้าบริษัทมีการซื้อหุ้นคืนจริง เงินปันผลต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น
เรียกได้ว่าเรื่องของการซื้อหุ้นคืน คือสิ่งที่จริงใจที่สุดที่บริษัทจะทำให้กับผู้ถือหุ้น

แต่บางครั้งการซื้อหุ้นคืน ก็อาจจะไม่ได้เป็นด้านบวกเสมอไป
เป็นเพราะว่า ...

1. การซื้อหุ้นคืน ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อเสมอไป 
หลายๆครั้งเรามักจะเห็นว่า บริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน พอถึงเวลาจริงๆครบกำหนดโครงการแล้วไม่ได้ซื้อหุ้นเลย หรือซื้อไม่ครบก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
เช่น มีการระบุว่าซื้อหุ้น 200 ล้านหุ้น แต่เวลาซื้อจริงอาจจะซื้อแค่ 1 ล้านหุ้นก็ได้
เพราะไม่มีกฏข้อบังคับว่าบริษัทจะต้องซื้อให้ครบตามที่แจ้งไว้ 
ดังนั้น เวลามีประเด็นการซื้อหุ้นคืนอาจจะเป็นเรื่องของการเล่นกับราคาหุ้น มากกว่าจะเป็นการซื้อคืนจริงๆแบบเป็นเรื่องเป็นราว

2. นักลงทุนมักจะเข้าใจว่า การซื้อหุ้นคืนแสดงว่าผู้บริหารมองว่าราคาต่ำกว่าความเป็นจริง
ซึ่งในความเป็นจริง ราคาหุ้นที่ปรับลงมาอาจจะอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลกับที่เป็นอยู่แล้วก็เป็นได้
เช่นในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์บางชนิดที่เคยราคาสูงมากเป็นพิเศษ แต่พอผ่านโควิดไปแล้วราคาสินค้ากลับตกต่ำลงมา ราคาหุ้นก็เลยลดลงไปด้วย ซึ่งราคาหุ้นที่ลดลงอาจจะสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ดังนั้น เรื่องของการซื้อหุ้นคืน ก็อาจจะไม่ได้บ่งบอกว่าราคาหุ้นต่ำกว่าความเป็นจริง

นี้เป็น 2 ประเด็นที่นักลงทุนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของการซื้อหุ้นคืน ....

อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติแล้วนักลงทุนไม่ควรมองอะไรในแง่ร้ายเกินไป 
เพราะเรื่องของการซื้อหุ้นคืน ถ้าไม่มีอะไรซับซ้อนมากจนเกินไป มักจะมีแนวโน้มเป็นบวกมากกว่าจะเป็นลบในระยะยาวครับ