ถ้าเราพูดถึง PTT ก็คงจะหลีกเลี่ยงจะพูดถึงเรื่องราคาน้ำมันและพลังงานไปคงไม่ได้
เพราะรายได้หลักของ PTT มาจากธุรกิจน้ำมันเป็นส่วนใหญ่
แต่รู้หรือไม่ว่า PTT มีธุรกิจ New S-curve ใหม่ ที่น่าจับตามองอย่างมาก โดยเฉพาะ 3 ธุรกิจประกอบไปด้วย
1. Lotus Pharmaceutical
ธุรกิจยา และ Life Science สัญชาติไต้หวัน ที่ทางกลุ่ม PTT ได้ทุ่มเงินไปกว่า 1.5 พันล้านบาทถือหุ้น 6.66%
ล่าสุด ทางบริษัทเปิดเผยว่ากำไรของบริษัทแตะจุดสูงสุดใหม่ ด้วยการเปิดตัวยา Lenalidomide ซึ่งเป็นยาสามัญตัวใหม่ที่ใช้รักษาโรคลูคีเมียในตลาดสหรัฐ
2. Innobic
ทำธุรกิจไลฟ์สไตล์ด้วยการนำองค์ความรู้เกี่ยวกับ Chemical และ Biotech ที่มีอยู่ในกลุ่ม ปตท. มาต่อยอดพัฒนาเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
ล่าสุดได้ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจโภชนาการ ซึ่งจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ต้นปีหน้าที่จะถึงนี้ รวมถึงเข้าสู่ธุรกิจเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์
3. ร่วมลงทุนในธุรกิจรถ EV
PTT และ Foxconn ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปแล้ว และจะเริ่มต้นสายการผลิตช่วงปี 2567
โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ทางกลุ่ม PTT คาดหวังว่ากำไรจากธุรกิจ S-curve ใหม่จะเพิ่มเป็น 30% ของกำไรสุทธิทั้งหมดภายในปี 2573
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ถ้าพูดถึงในแง่ของ "กำไร"
ปีหน้าอาจจะไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับผลประกอบการของ PTT จากเหตุผล 3 ข้อด้วยกันคือ
1. ทิศทางราคาน้ำมันมีแนวโน้มเป็นขาลง
โดยปีนี้ ราคาเฉลี่ยน้ำมันอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่ค่าการกลั่นในปีหน้า อาจจะอยู่เฉลี่ยแถวๆ 87-92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
2. ราคาปิโตรเคมีภัณฑ์ จะใกล้เคียงกับต้นทุนการดำเนินงาน
3. ต้นทุนก๊าซธรรมชาติจะยังทรงตัวในระดับสูง
ทำให้ในปีหน้าผลประกอบการของ PTT อาจจะออกมาไม่สวยเท่าไรนักและเป็นเหตุผลที่ทำให้โบรคเกอร์มีแนวโน้มปรับลดราคาที่เหมาะสมของหุ้น PTT ลงได้อีกในอนาคต
ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาจากมูลค่าพื้นฐานที่เป็นอยู่ โดยใช้ค่า P/BV Ratio พบว่าอยู่ที่ 0.81 เท่า ถือว่าไม่แพงเลย
และได้แรงเสริมจากธุรกิจ New S-curve ที่ตั้งเป้าจะมีรายได้รวมกว่า 30% จะเป็น Upside ให้กับบริษัทได้ในอนาคตครับ
----------------------------------------
Reference