ในปี 2010 - 2019 เป็นยุคแห่ง "ดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ"
ในปี 2020 - 2022 เป็นยุคแห่ง "ยุค COVID เงินเฟ้อสูง พลังงานแพง"
ถามว่า แล้วในปี 2023 เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร ?
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกในปีหน้า จะมีลักษณะ 3 ประการด้วยกัน คือ
ประการแรก การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะ "ลดลง" อย่างมาก
มีการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว (DM) และตลาดเกิดใหม่ (EM)
โดย DM จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดสภาวะ Stagflation อย่างรุนแรง
ในขณะที่ EM การเติบโตจะลดลง
ประการที่สอง อัตราเงินเฟ้อผ่านจุดสุงสุดไปแล้ว
บทวิเคราะห์รายงาน กลุ่มตัวอย่างประเทศ 42 ประเทศ มาศึกษาพบว่าทำจุดสูงสุดในเดือนมิถุนายน และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทำให้เชื่อว่าในปี 2023 อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะลดลงจากฐานที่สูง และ Demand ทั่วโลกก็จะลดลงอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ประการที่สาม อัตราดอกเบี้ยจะเคลื่อนที่เข้ามาจุดดุลยภาพมากขึ้น
ประเทศที่พัฒนาแล้ว (DM) จะขึ้นดอกเบี้ยสูงมาก เพื่อครอบคลุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง
ในขณะที่ประเทศเกิดใหม่ (EM) บางประเทศก็ขึ้นดอกเบี้ยบ้าง บางประเทศไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย
ดังนั้นในปีหน้า เราจะเห็นอัตราดอกเบี้ยของทั้งสองกลุ่มปรับตัวเข้าหากัน Convergence กันมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2023
ประเด็นคือ แล้วเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไรในปีหน้า ?
บทวิเคราะห์ มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงในปีหน้า
แต่ยังดูดีกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว
โดยไตรมาส 1 GDP ของไทยน่าจะเติบโตราวๆ 4% และมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง จากเหตุผล 3 ประการด้วยกันคือ
1. เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ดึงให้เศรษฐกิจไทยลดลงตามไปด้วย
2. การบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัว ในขณะที่การใช้จ่ายโคงการภาครัฐ อ่อนแรงลง
3. นักท่องเที่ยวเดินทางมากขึ้นและเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นประเภท "อยู่สั้น" มากกว่าจะอยู่ยาว ซึ่งทำให้สร้างรายได้ น้อยกว่านั่นเอง
ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 3
และมีโมเม้นตัมส่งต่อไปยังไตรมาส 1 ปีหน้า
แต่ถ้ามองยาวๆแล้ว ปีหน้าอาจจะไม่ใช่ปีที่ดีเท่าไรนักต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
รวมถึงการลงทุนในหุ้นไทยด้วยเหมือนกันครับ ....
-------------------------------------------------------
Reference