ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้กังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ FED แล้ว
แต่สิ่งที่นักลงทุนกำลังกังวลอยู่ตอนนี้ คือประเด็นเรื่องของ Recession ที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก ..
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการแรงงานอยู่ที่ 2.22 แสนคน ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งตัวเลขออกมาดูดีแต่กลับสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนว่า FED อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกอยู่ต่อไป
... ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยมากๆ จะนำอเมริกาไปสู่สภาวะ Recession ได้ในท้ายที่สุด
สัญญาณแรกมาแล้ว คือ ตราสารหนี้ระยะสั้น 2 ปี ลบด้วย 10 ปี ห่างกันถึง -0.68%
พูดง่ายๆคือ เกิด Inverted Yield Curve ไปแล้วนั่นเอง
ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีโอกาสสูงมากที่สหรัฐอเมริกาจะเกิด Recession
อีกทั้งประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ แสดงความคิดเห็นว่า FED ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการคุมเงินเฟ้อมากเพียงพอ และ FED จะต้องทำให้เศรษฐกิจหดตัวเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลง หมายความว่า FED อาจจะขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกในครั้งต่อไป
อ่านมาถึงตรงนี้เราอาจจะรีบด่วนตัดสินว่าเกิด Recession แน่แล้ว ก็อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไปเพราะ
1. การเกิด Inverted Yield Curve อาจจะมาจากการเก็งกำไรในตลาดพันธบัตร ไม่ได้มาจากสภาวะ Recession จริงๆ
นักลงทุนมองว่า FED จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งจึงเร่งขายพันธบัตรระยะสั้น ไปเข้าพันธบัตรระยะสั้น ทำให้อัตราผลตอบแทนระยะสั้นสูงขึ้นจนมากกว่าผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว
2. การเกิด Inverted Yield Curve อาจจะถูกสะท้อนลงไปในความกังวลของตลาดไปแล้ว
ถ้าเกิด Recession จริงๆ หุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้น เพราะนักลงทุนกังวลกันไปแล้ว
หรือถ้าไม่เกิด Recession เท่ากับว่านักลงทุนกังวลกันไปเอง หุ้นก็อาจจะดีดตัวได้แรงกว่าเดิม
ตัวอย่างเช่นในปี 2005 เกิด Inverted Yield Curve ในเดือนธันวาคม
1 ปีต่อมาตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.62%
2 ปี ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.44%
3 ปีต่อมา ตลาดผลตอบแทนติดลบ 28.65% ... ซึ่งเป็นปีที่เกิด Financial Crisis พอดี
ในอีกแง่หนึ่ง การเกิด Recession ก็อาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วโลกมีการย้ายสินทรัพย์เสี่ยงจากความเสี่ยงสูงไปยังความเสี่ยงต่ำกว่า ซึ่้งตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียก็จะเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งด้วยครับ