EIC SCB มองเศรษฐกิจโลกกำลังแบ่งขั้วมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังการเข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 3 ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แต่คาดการกีดกันทางการค้าจะถูกจำกัดเฉพาะอุตสาหกรรมที่มั่นคงต่อประเทศ ชี้เป็นโอกาสดึงดูดเม็ดเงินเข้าลงทุนในไทย เป็นโอกาสการย้ายฐานการผลิตสู่ประเทศแถบอาเซียน
EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC SCB) เผยแพร่บทวิเคราะห์เรื่องเศรษฐกิจไทยในยามโลกแบ่งขั้ว (Decoupling) ว่า มองเศรษฐกิจโลกจะแบ่งขั้ว (Decoupling) มากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้กระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization) ชะลอตัวลง
โดยการเข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 3 ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ท่ามกลางประเด็นความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันที่ยังยืดเยื้อ กอปรกับการวางนโยบายส่งเสริมการพึ่งพาตนเองของจีนเป็นแผนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น Made in China 2025 และ Dual Circulation ส่งผลให้การแบ่งขั้วระหว่างจีนและสหรัฐฯ การมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในระยะต่อไป
อย่างไรก็ดี EIC คาดว่าการแบ่งขั้วของเศรษฐกิจโลกจะไม่ได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ เนื่องจากแต่ละประเทศเองก็ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งเต็มรูปแบบเช่นกัน โดยในรายงาน National security strategy ปี 2022 ของสหรัฐฯ ระบุว่าจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จำนำไปสู่ภูมิรัฐศาสตร์โลกแบ่งขั้วตายตัว และจะเคารพการตัดสินใจของชาติต่าง ๆ ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตนเอง
ด้วยเหตุนี้ EIC จึงมองว่า การกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะถูกจำกัดแค่อุตสาหกรรมที่สำคัญต่อความมั่นคงของชาติ อย่าง เซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากการกีดกันการค้าในวงกว้างจะส่งผลให้ทั้งสองประเทศสูญเสียตลาดสำคัญและกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ในขณะเดียวกัน ถึงแม้การค้าและการลงทุนโลกอาจไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยจากการแบ่งขั้วแต่จะมีจุดหมายปลายทางที่เปลี่ยนไปสู่ประเทศพันธมิตรหรือประเทศใกล้เคียงที่มีศักยภาพมากขึ้น
EIC คาดการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ (Decoupling) ที่เร่งตัวจะเป็นโอกาสให้ไทยดึงดูดเม็ดเงินการลงทุน (FDI) เข้าประเทศมากยิ่งขึ้น ผ่านความเป็นไปได้ในการกระจายหรือขยายฐานการผลิตออกจากจีน (Relocation) มายังภูมิภาคอาเซียนที่ยังคงบทบาทเป็นกลาง (Impartiality) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk Drive: HDD) และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ลำดับสองในตลาดโลกรองจากจีน
อีกทั้ง หากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันไม่ยกระดับความรุนแรง (เช่น จีนจำกัดการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อไต้หวันแค่ในเชิงสัญลักษณ์ ขณะที่สหรัฐฯ ยังไม่คว่ำบาตรจีนโดยตรง) เศรษฐกิจไทยจะได้รับโอกาสทางการค้าในระยะต่อไปผ่านช่องทางการส่งออกสินค้าไปทดแทนสินค้าที่จีนและไต้หวันพึ่งพากันเองสูง และไทยมีส่วนแบ่งตลาดของสินค้าดังกล่าวทั้งในตลาดจีนและไต้หวัน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องยนต์
ในภาพรวม EIC ประเมินการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจจะเป็นโอกาสให้เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอาเซียนได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคนี้มากขึ้น โดยการเติบโตของ GDP ประเทศอาเซียนในระยะยาวจะเพิ่มขึ้น 0.1% ต่อปี ขณะที่ GDP ของไทยในระยะยาวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว 0.07% ต่อปี แต่หากในกรณีที่ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันยกระดับ
ความรุนแรงขึ้น เศรษฐกิจไทยและอาเซียนอาจชะลอตัวจากการส่งออกและการลงทุนที่ลดลง
------------------------------------
Reference