การเมือง เศรษฐกิจ และตลาดหุ้น คือ 3 สิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นเวลามีประเด็นเรื่องของการเลือกตั้งมักจะเป็น "จุดเปลี่ยน" ของเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้เป็นวันเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นการสู้ศึกระหว่าง 2 พรรคการเมือง คือ เดโมแครต และรีพับลิกัน
โดยตอนนี้สภาปัจจุบันนำโดย โจ ไบเดน ของพรรคเดโมแครต ซึ่งครองเสียงข้างมากทั้ง ส.ส และ ส.ว.
แต่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของรัฐบาลเดโมแครตที่ผ่านมา สร้างความไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก
ทำให้ประชาชนอาจจะเทคะแนนเสียงให้กับรีพับลิกันครองเสียงข้ามมากในสภา ...
พูดง่ายๆคือ ตลาดวอลสตรีท มองว่ามีโอกาสสูงมากที่พรรครีพับลิกัน อาจจะเป็นผู้ชนะครองเสียงข้ามมากใน ส.ส. และสูสีกันในกลุ่ม ส.ว.
หมายความว่า การบริหารประเทศของพรรคเดโมแครตของโจ ไบเดน อาจจะติดขัดและเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วง 2 ปีต่อจากนี้
โดยพรรครีพับลิกันจะขัดขวางการผ่านกฎหมายต่างๆ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ...
จากสรุปบทวิเคราะห์ของ Schwab เปิดเผยสถิติย้อนหลังเอาไว้ว่า
1. การเลือกตั้งกลางเทอมที่ผ่านมา "ส่วนใหญ่" พรรคฝ่ายค้านจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งกลางเทอม
2. ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอม "หุ้นจะตก"
และหลังเลือกตั้งกลางเทอม "หุ้นจะขึ้น"
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส เผยสถิติพบว่าหลังเลือกตั้งกลางเทอม 1 เดือน ตลาดหุ้นอเมริกาและไทยจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกทุกรอบ อาจจะเกิดจากสาเหตุในเรื่องของความเปลี่ยนแปลงและความคาดหวังที่จะดีขึ้นในอนาคต
โดย ดัชนี Nasdaq +2.2%
ดัชนี S&P500 +1.3%
ดัชนี SET +1.3%
ตอนนี้ ตลาดวอลสตรีทกำลังให้ความสนใจการเลือกตั้งกลางเทอมในอเมริกา
ซึ่งถ้าเป็นไปในทางบวก เชื่อว่าอานิสงค์แรงส่งจะมายังตลาดหุ้นไทย ไม่มากก็น้อย
ถือเป็นประเด็นที่นักลงทุนไทย ควรติดตามด้วยเหมือนกันครับ ....
------------------------------------------------
Reference