ถ้าเราถามว่าหุ้นที่มีราคา "สูงที่สุด" ในโลก คือหุ้นอะไร
คำตอบ คือ หุ้น Berkshire Hathaway ของนักลงทุนระดับโลกอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ 
โดยปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ที่ 438,700 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือคิดเป็นเงินไทยจะอยู่ที่หุ้นละ 16.5 ล้านบาท

แน่นอนว่าด้วยราคาที่สูงมากขนาดนี้ เลยทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า
ทำไมถึงไม่แตกหุ้น (Stock split) ออกมาเพื่อให้ราคาลดลง นักลงทุนเข้าถึงได้มากขึ้น 
อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มสภาพคล่องใหักับหุ้นอีกด้วย ... 
ครั้งหนึ่ง บัฟเฟตต์ เคยพูดเอาไว้ว่า เขาอยากให้หุ้น Berkshire Hathaway มีแต่กลุ่มนักลงทุนพันธุ์แท้เท่านั้น ราคาที่สูงจะเป็นการคัดเลือกผู้ถือหุ้นในระยะยาว และการแตกหุ้นจะเป็นการขัดกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว สภาพคล่องมีมากขึ้น การเก็งกำไรก็จะมากขึ้นตาม
เขายังเน้นย้ำอีกด้วยว่า การแตกหุ้น ไม่ได้เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ...

"การแตกหุ้น ก็เหมือนกับการตัดพิซซ่า 
มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาซื้อพิซซ่า เจ้าของร้านถามเขาว่าพิซซ่าถาดที่ลูกค้าสั่งจะให้ตัดออกเป็น 4 ชิ้น หรือ 8 ชิ้นดีครับ 
ลูกค้าตอบว่า ให้ตัดออกเป็น 4 ชิ้นครับ เพราะ 8 ชิ้น ผมไม่มีทางกินหมดหรอก"

อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์ไม่ได้แตกหุ้น แต่มีการ "แยกหุ้น" ออกเป็น Class ในปี 1996
ตอนนี้หุ้น Berkshire Hathaway ซื้อขายกันที่ราคาประมาณ 3 หมื่นดอลลาร์
ทางบอร์ดบริหารเลยเพิ่มจำนวนหุ้นอีก 517,500 หุ้น และเรียกมันว่า "Class B" 
และหุ้นเดิมจะถูกเรียกว่า Class A
โดยราคาหุ้น Class B จะต่ำกว่าราคาหุ้น Class A ประมาณ 30 เท่า

ต่อมาในปี 2010 หุ้น Class B ก็แตกออกมาอีก 50 ต่อ 1 
เท่ากับว่า ราคาหุ้น Class B จะต่ำกว่าราคาหุ้น Class A ประมาณ 1500 เท่า
ถามว่าหุ้น Class A และ Class B แตกต่างกันตรงไหน
1. ราคาหุ้นแตกต่างกัน 
2. สิทธิ์ในการโหวตแตกต่างกัน
โดย หุ้น Class B จะต้องมี 10,000 หุ้น ถึงจะเท่ากับหุ้น Class A 1 หุ้น

-------------------------------------------
Reference

CNBC 

Investopedia[1]

Investopedia[2]

Marketwatch